Monday, August 26, 2013

ประสบการณ์การดำเนินการ CR-1 ตอนที่ 4: วันสัมภาษณ์

หลังจากเขียนตอนที่ 3 ไปนานมากแล้ว ดองมานานก็ขอเขียนตอนที่ 4 เลยนะคะ แต่เนื่องจากว่าเคยเขียนประสบการณ์การสัมภาษณ์ของตัวเองไปลงที่ usvisa4thai.com ไว้แล้ว ก็เลยขอก๊อปเอามาแปะเลยละกัน เป็นการเขียนหลังสัมภาษณ์ไม่นานนะคะ เราสัมภาษณ์เดือน ส.ค. 2012 ค่ะ

สวัสดีค่า มาเล่าประสบการณ์สัมภาษณ์ CR1 ให้ฟังตามสัญญา

วันนี้ 16 สค. นะคะ ตามหนังสือนัดสัมภาษณ์ที่ได้จาก NVC คือ 7 โมงเช้า
เราเตรียมเอกสารความสัมพันธ์เสร็จเรียบร้อยเมื่อคืนเอง
เล่าย้อนหลังไปอีกนิด เราส่งเอกสารชุด DS-230 กะแฟนส่ง AOS package ไปถึง NVC เมื่อวันที่ 28 กะ 29 มิย. ตอนนั้นคิดว่าอีกราว 10 วันน่าจะได้เมล์แจ้งวันสัมภาษณ์จาก NVC และจาก timeline เพื่อนๆ เราก็เดาว่าวันสัมภาษณ์เราน่าจะอยู่ราวๆ กลางเดือน สค.
ทีนี้เราสัญญาจะแฟนไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว (เป็นการวางแผนรายปีว่าช่วงไหนจะมีวันหยุดหลายวันที่เราจะลางานไปหาเขาได้นานหน่อยอะค่ะ) ว่าเราจะไปหาเขาช่วงปลายเดือน ก.ค. ถึง ส.ค. ที่จริงอยากจะยกเลิก trip แต่ดูแฟนจะตั้งความหวังไว้มากอะค่ะ ทั้งที่เค้าเพิ่งมาหาเราเมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมาเอง ก็เลยเลือกวันไปคือ 20 กค. เพิ่งกลับมาถึงไทยวันที่ 13 สค. ที่ผ่านมานี้เอง จากนั้นเราตัดสินใจไปตรวจสุขภาพก่อนเลย เมื่อวันที่ 5 กค. ทั้งที่ไม่รู้วันสัมภาษณ์ เพราะกลัวถ้ารอกลับมาตรวจจะไม่ทัน และก็คิดไม่ผิด 
วันที่ 12 กค. เราได้รับเมล์แจ้งวันสัมภาษณ์ ว่าคือ 16 สค. เวลาเหมาะเจาะมากมาย (ไว้จะเล่าประสบการณ์การผ่าน ตม. จาก trip นี้ให้ฟังอีกทีต่างหาก) เราเริ่มเตรียมเอกสารสัมพันธ์ ที่จริงทำเสร็จแล้วตั้งแต่ก่อนเดินทาง แต่รู้สึกว่าทำด้วยความรีบ ไม่เรียบร้อยไงไม่รุ กลับมาเลยมีเวลาเตรียมเอกสารความสัมพันธ์ให้เสร็จอีกแค่ 2 วัน ก็เพิ่งทำเสร็จเมื่อคืน 

เอกสารความสัมพันธ์ที่เตรียมไปมี 12 เล่ม มี 
- รูปภาพ 1 เล่ม (กะ photobook อีก 2 เล่ม)
- video clips ที่เรากะแฟนส่งให้กัน 1 เล่ม
- sms 2 เล่ม
- chat 2 เล่ม (gtalk กะ ym อย่างละเล่ม)
- อีเมล์ 2 เล่ม (gmail กะ ymail อย่างละเล่ม)
- Facebook 1 เล่ม
- blog ที่เราเขียน 1 เล่ม เป็น blog ภาษาอังกฤษที่เราเขียนให้ข้อมูลชาวต่างชาติเกี่ยวกะประเทศไทย เล่าเรื่อง trip ต่างๆ ที่เราไปเที่ยวในไทยกะแฟนตั้งกะเริ่มคบกัน สูตรอาหารไทยที่เราทำกะแฟน และอีก blog หนึ่งเป็นบันทึกเรื่องต่างๆ ที่เราเขียน เราเลือกเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับแฟน เช่น how to ทำ music video ให้แฟน เรื่อง surprise ที่แฟนทำให้เรา บลา บลา บลา (ตัวนี้เราแค่เอาไปเผื่อไว้ ไม่ได้คิดว่ามันสำคัญเท่าไหร่ แต่มันกลายเป็นเอกสารที่กงสุลให้ความสนใจมากสุด)
- แฟ้ม gifts and cards 1 เล่ม
- แฟ้มเอกสารอื่นๆ 1 เล่ม อันนี้เป็นพวกสัญญาเช่าอพาร์ทเม้นต์ที่เราอยู่กะแฟนในไทยตัวจริง มีชื่อแฟนเราเป็นคนทำสัญญา และมีเชื่อเราเป็นผู้อาศัยร่วม (แฟนย้ายมาอยู่ไทยตอนเริ่มคบกะเรา แต่ย้ายกลับไปเมื่อปีที่แล้ว)
เจ้าหน้าที่เค้าเอาไปหมดทุกเล่ม ยกเว้นแฟ้ม 2 อันท้าย เค้าบอกว่าเดี๋ยวเค้าโน้ตให้ท่านกงสุลดูละกันว่ายังมีอีก เผื่อท่านเรียกดู

นอกจากเอกสารความสัมพันธ์ เอกสารอื่นๆ ที่ต้องเอาไปด้วย ก็มี
- บัตรประชาชน (ตอนฝากของก่อนเข้าสถานทูต ให้ใช้บัตรอื่นในการฝากของนะคะ เพราะบัตรประชาชนต้องใช้ด้านในค่ะ)
- ทะเบียนบ้าน (ตัวจริง)
- พาสปอร์ต เก่ากะใหม่ (เล่มเก่าเราเป็นนามสกุลก่อนแต่งงาน และมีวีซ่าท่องเที่ยว 10 ปีอยู่ สถานทูตต้องทำการ cancel วีซ่าท่องเที่ยวเราในพาสปอร์ตเก่าค่ะ)
- ซองผลการตรวจสุขภาพที่ยังปิดผนึกจาก รพ อยู่ (เอาซอง x-ray มาเผื่อด้วยนะคะ เผื่อเหลือดีกว่าเผื่อขาด แต่วันที่เราไปเขาขอแต่ซองผลการตรวจซอลเล็ก)
- เงินค่าไปรษณีย์ 350 บาท สำหรับส่ง passport พร้อมวีซ่าและเอกสารในซองน้ำตาลที่ต้องยื่นให้ ตม. (เอาไปเยอะกว่านี้ก็ดีค่ะ เผื่อเค้าขึ้นราคา)

เอาล่ะเข้าเรื่องวันนี้ ตื่นตี 4 ออกจากบ้านตี 5.10 ได้ ถึง BTS หมอชิด ตี 5 ครึ่ง BTS ยังไม่เปิดเลย -_-" ลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท มัวแต่ห่วงว่าจะสาย BTS เปิด 6 โมงนะคะ เพื่อนๆ จะได้ไม่ต้องไปยืนหง่าวรอเหมือนเรา เราได้ BTS เที่ยวแรกวิ่งเวลาประมาณ ตี 5.50 ถึงสถานีเพลินจิด 6 โมงนิดๆ ใช้เวลาเดิน 15 นาทีถึงสถานทูต กลางทางจะมี 7-11 ให้แวะซื้อเสบียงตุนไว้ได้ เพราะไม่รู้จะเสร็จกี่โมง เคยอ่านประสบการณ์บางคนเสร็จเที่ยงนู่น

ไปถึงสถานทูต 6.30 น.​ แถวยาวพอควรแล้ว สังเกตเห็น คนที่ยืนหน้าเราไป 2 คนถือซองน้ำตาลใหญ่ๆ อยู่ด้วย เดาว่าคงเป็นถาวรเหมือนกัน รอไปๆ ก็มีคุณป้าคนนึงมาต่อแถว เล่าให้ฟังว่าแกใกล้เกษียณแล้ว เลยมีคนรู้จักแนะนำให้มาขอวีซ่าไว้ก่อน เดี๋ยวเกษียณแล้วจะขอยาก แล้วก็ช่วยคุยนู่นนี่นั่น จากนั้นก่อนเจ้าหน้าที่เริ่มออกมาจัดคิดได้แป๊บ แกก็อุทานว่า ว้ายตายแล้ว ลืมเอาพาสปอร์ตมา แต่อาจอยู่ในรถที่จอดไว้แถวนั้น เราเลยแนะนำให้ถามเจ้าหน้าที่เขาดูก่อนว่าทำไงได้มั่ง แต่สุดท้ายเราก็ไม่รู้ว่าเรื่องเป็นไงต่อ เพราะเข้าไปข้างในก่อน

ตอนเข้าแถวสัมภาษณ์แนะนำให้ถือใบนัดไว้ในมือเลยนะคะ เพราะว่าคนที่เราว่าอยู่ก่อนเราเค้าเอาใบนัดไว้ในกระเป๋า เจ้าหน้าที่ขอดูก็เสียเวลาค้นตั้งนาน เจ้าหน้าที่หันมาดูของเราเห็นอยู่ในมือแล้ว เค้าเช็ควันก็ให้บัตรสีม่วงเราถือไว้แล้วเดินไปรอหน้าประตูได้เลย เราไปยืนหน้าประตูสักพัก คนนั้นถึงตามหลังเรามา (การเรียกสัมภาษณ์วันนี้เรียกตามคิวนี้เลยค่ะ เพราะงั้นไปถึงก่อนและได้เข้าไปก่อน ก็จะได้สัมภาษณ์ก่อนนะคะ)

พอได้เข้าไปก็เดินเข้าไปยื่นเอกสารที่ ช่อง 6 เลย มีคนอยู่ก่อนหน้าเรา 2 คน คนแรกกะลังยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่ มาวีซ่าอะไรไม่รู้เหมือนกัน คนก่อนหน้าเราวีซ่าคู่หมั้น คนหลังเราก็คือคนที่เราเห็นตั้งกะตอนเข้าแถว ส่วนคนที่ 5 นี่เรามาเห็นตอนเรามานั่งรอเรียกสัมภาษณ์แล้ว

ที่ช่อง 6 นี้ เป็นเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนไทย เค้าขอ passport เราไป 2 เล่ม เก่ากะใหม่ เล่มเก่ามีวีซ่าท่องเที่ยวเมกาอยู่ กะ stamp เข้าเมกา 3 ครั้งแรก เค้าถามเราว่าเคยไปเมกามากี่ครั้ง เราก็บอก 4 เค้าดูในใบที่เราเคยส่งไป (น่าจะเป็น DS-230) เราเขียนไว้แค่ 3 ครั้ง เพราะครั้งหลังสุดเพิ่งเดือนที่แล้วเอง เค้าก็ถามเราว่าเดินทางเมื่อไหร่และเขียนเพิ่มลงไปให้ แล้วก็ถามว่าเอาบัตรประชาชนกับทะเบียนบ้านมามั้ย เราก็ยื่นให้ไป ใบตรวจสุขภาพเค้าเอาซองเล็ก ซองใหญ่เราเลยยัดใส่เป้กลับมา เนื่องจากเราส่งเอกสารทั้งหมดไปที่ NVC แล้ว เค้าเลยไม่ถามหาเอกสารอะไรจากเรา จากนั้นเค้าให้แบบฟอร์มส่งไปรษณีย์กับเรามา มีชื่อเรากรอกไว้อยู่แล้ว ให้เราออกไปจ่ายที่ข้างนอก และเอาใบเสร็จกลับมายื่นที่เค้า ค่าไปรษณีย์ 350 บาทนะคะ อย่าลืมพกตังค์เข้าไปด้วย ที่เค้าจะส่งมาให้เราเป็นกล่องไซส์เบ้อเริ่มเลย เราแอบคิดในใจ สงสัยเค้าคงยึดเอกสารความสัมพันธ์ไว้ด้วยมั้ง และส่งกลับให้เราพร้อมวีซ่า เย้ จะได้ไม่ต้องหิ้วกลับ หนัก เพราะจะไปฉีดวัตซีนที่สถานเสาวภาต่อ เค้าให้ใบเสร็จเรามา 2 ใบ เอาไปยื่นคืนให้เจ้าหน้าที่ 1 ใบ จากนั้นก็นั่งรอเรียกสัมภาษณ์


ประมาณ 8 โมงก็เห็นฝรั่งผู้ชายมานั่งที่ช่อง 5 ค่ะ แล้วเริ่มเรียกสัมภาษณ์ คนแรกใช้เวลาประมาณครึ่ง ชม. ได้ รู้สึกน้านนาน สัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ ผ่านมั้ยไม่รู้ แต่เหมือนชีอารมณ์ไม่ดี คนแรกเสร็จประมาณอึดใจ ก็เรียกคนที่ 2 เราเลยไปเข้าห้องน้ำก่อนเลย เพราะคิวต่อไปเราแล้ว คนที่สองสัมภาษณ์เป็นภาษาไทย (คือตรงที่นั่งรอสัมภาษณ์มันจะพอได้ยินนะคะว่าเค้าคุยกันตรงที่สัมภาษณ์ แต่ฟังไม่ชัดหรอกค่ะว่าคุยอะไรกันบ้าง) คนที่สองผ่าน เพราะเข้าเดินมาบอกคนที่ได้คิวต่อหลังเรา เพราะเค้านั่งคุยกันมาพักนึงแล้ว ส่วนเรานั่งเคร่งเครียดด้วยความตื่นเต้น ไม่คุยกะใครทั้งนั้น! 55)

ต่อไปเป็นชื่อเราแล้ว เราก็สะพายเป้เดินไป ก็เห็นนะว่าเป็นฝรั่งหล่อๆ แต่วินาทีนั้นไม่ได้ใส่ใจ เพราะมีอย่างอื่นสำคัญกว่า จนกระทั่งสัมภาษณ์เสร็จถึงได้คิดในใจว่าท่านกงสุลนี้ล้อหล่ออะ ด้วยความตื่นเต้น สมองเลยไม่ได้สั่งการให้จำการสนทนาเท่าไหร่ แต่ประมาณนี้
He: Can you speak english?
Me: Yes.
He: ให้สาบาน
Me: Yes.
He: Ok, then you sign on here. There is a pen for you out there. (แล้วยื่น DS-230 Part 2 ให้เรา)
Me: หยิบปากกาตัวเองออกมา แต่แล้วเปลี่ยนใจ ในเมื่อเค้ามีให้ใช้ก็ใช้ของเค้าดีกว่า แล้วหยิบปากกาตรงเคาน์เตอร์มาเซ็นต์ แล้วยื่นคืนท่านไป
He: So you have been married for a year now, right?
Me: Yes.
He: You work for government, right?
Me: Yes.
He: So how did you meet your husband?
Me: I met him at work. He was an instructor of a class at my work.
He: When was the class?
Me: Dec 2009… oh 2008… sorry!
He: So you started seeing him when he was here for the class?
Me: No, after he went back we started chatting and he came back again in Feb 2009. And then he had another class here in Mar 2009.
He: What was the class about?
Me: บอกไป (เกี่ยวกับ it security ในเชิงสืบสวนอะค่ะ)
He: ทำหน้าแบบ wow และถาม So you said he came back in Feb, did he have a class in Feb?
Me: No, he was here just to visit me and he had class again in Mar
He: Did you take that class too?
Me: Yes.
He: What was the class about? Same one?
Me: No. และบอกไปว่าเกี่ยวกับอะไร คล้ายของเดิม แต่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
He: What program did you use?
Me: ทำหน้างง นึกไปถึงโปรแกรมการทำงาน โปรแกรมหลักสูตรการเรียนหรอ และถามไปว่า program? you mean…?
He: Website…
Me: Oh, I got it now. Yahoo, Facebook and google…
He: Is there any copy of his passport somewhere here? และเริ่มคุ้ยหาในกองเอกสาร
Me: I don't think so. I don't think he sent it. (ตรงนี้ขอบอกว่าตอนอยู่เมกาก็บอกแฟนเรื่องนี้แล้วว่าเค้าอาจจะขอดู แต่แฟนมันก็ว่า พาสปอร์ตไอ ยูจะไปมีได้ไง มันก็ต้องอยู่ที่ไอสิ เราเลยว่า เอาเป็น copy บางส่วนก็พอไม่ต้องเอาหมด (เพราะว่าแฟนเข้าประเทศไทยหลายครั้งมากค่ะ เค้าทำงานแบบที่ต้องเดินทางบ่อยๆ ตอนที่ไม่ได้เดินทางไปไหนก็จะมาอยู่เมืองไทย) แฟนก็พยักหน้าหงึกหงัก แต่ก็เฉย เราก็เลยคิด ช่างแม่ม ถ้าจะไม่ได้วีซ่าเพราะเหตุนี้ จะได้มาสมน้ำหน้าแฟนทีหลัง เพราะขานี้จะชอบแบบ ใน instruction ไม่มีบอกก็ไม่เห็นจะต้องส่ง ทั้งที่ของมันก็มีอยู่แล้วแท้ๆ แค่เอามา scan เอง เฮ้อ เบื่อเถียงกะแฟนเรื่องพวกนี้มาก)
He: ยังค้นอยู่ และพูดว่า That would help a lot.
Me: Yeah.. sorry..
He: เมื่อไม่มีพาสปอร์ตให้ดู แกก็หันไปสนใจกะเอกสารความสัมพันธ์แทน แบบแค่พลิกผ่านๆ และถาม So how many times did he come to see you?
Me: He actually lived with me here since 2009 but he moved back in 2011. แล้วก็ล้วงหยิบเอาแฟ้มที่มีสัญญาเช่าคอนโดมาเตรียมไว้กะว่าจะยื่นให้ดูแต่ก็ไม่ได้ยื่น ที่จริงส่งตัวสำเนาและใบแปลตัวจริงไปตั้งกะขั้น USCIS แล้ว
He: หยิบตัวที่เป็น blog ที่เราเตรียมเป็นเอกสารความสัมพันธ์ไปมาพลิกดูนานหน่อย อื่นๆ แค่พลิกผ่านๆ และถาม Why did he move back?
Me: He got a new job that required him to go to the office everyday so he had to move back.
He: พยักหน้าหงึกหงัก และว่า So we will return you this today และยื่นเอกสารความสัมพันธ์คืนให้ทั้งหมด
Me: รับคืนและคิดในใจ อ่าว นึกว่าไม่ต้องแบกกลับนะเนี่ย แล้วให้เราซื้อกล่องใหญ่บิ๊กเบ้งเพื่ออะไร
He: And this is all original documents you sent. Make sure you have it all back. และยื่นเอกสารคืนเรามา มีใบเกิด ในเปลี่ยนชื่แม่ สำเนาใบตำรวจ ทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชน
Me: รับคืนมา
He: And we will keep your passports because we will issue your visa. Your visa will be issued on Tuesday and will be mailed in the afternoon the same day. It's gonna be a package and should be at your house on Wednesday. Do you live in Bangkok?
Me Yes, actually no, not in Bangkok but…
He: close by Bangkok?
Me: Yes.
He: So it should take a day to get to you and it should be Wednesday. So we are done here now.
Me: Thank you very much แล้วเดินจากมา (แอบมาเอาเอกสารพะรุงพะรังทั้งหลายยัดใส่เป้หน้าประตูก่อนเดินออกไป)

จากนั้นด้วยความครึ้มอกครึ้มใจ เราเลยเดินเท้าจากสถานทูตไปยังสถานเสาวภาเพื่อฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ค่ะ หลังจากฉีดครั้งแรกตอนไปตรวจสุขภาพที่บำรุงราษณ์มาแล้ว

No comments:

Post a Comment

All contents and pictures in this blog is copyrighted@2009 by monkey-girl. All right reserved.

Back to TOP