Sunday, December 30, 2012

ประสบการณ์เดินทางมาอเมริกา ด้วยวีซ่า CR-1 Dec 11, 2012 (BKK-NRT-LAX-SAN)

Timeline สั้นๆ ตั้งแต่เดินทางจนปัจจุบัน ดังนี้ (San Diego, CA)
Dec 10, 2012 - Left Thailand 11:15PM
Dec 11, 2012 - Arrived in the US. LAX as port of entry. SAN as final destination.
Dec 13, 2012 - SSN issued
Dec 15, 2012 - SSN arrived in mailbox
Dec 17, 2012 - Case received by USCIS (Green Card Case sent by IM at LAX)
Dec 20, 2012 - Receipt and Welcome Notice issued by USCIS
Dec 26, 2012 - Receipt and Welcome Notice arrived in mailbox. Checked case by receipt number at uscis.gov and green card was sent out on Dec 26.
Dec 27, 2012 - Went to DMV and ask for info. Green card needed to take a test.
Dec 28, 2012 - Green card arrived in mailbox

ก่อนอื่นนะคะ ขอยกให้เป็นการเดินทางมาอเมริกา ที่เหนื่อยและยาวนานที่สุดเดี๋ยวถ้ามีเวลาจะมาสรุปเปรียบเทียบการเดินทางมาอเมริกาทั้ง 5 ครั้งให้ดูอีกที เผื่อเป็นข้อมูลให้พี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ ตัดสินใจเดินทางมาเมกาตามโอกาสและด้วยวีซ่าต่างๆ ที่จริงแล้วอยากจะบอกว่า ครั้งที่ 4 เป็นครั้งที่อกสั่นขวันแขวนที่สุด เพราะเป็นการเดินทางครั้งแรกด้วยพาสปอร์ตใหม่ นามสกุลสามี ด้วยวีซ่าในพาสปอร์ตเล่มเก่าซึ่งเป็นนามสกุลก่อนแต่งงาน และครั้งนั้นเจอ ตม. เมกา มาดักรอที่ NRT ด้วยค่ะ นึกว่าจะโดนส่งกลับไทยที่โตเกียวซะแล้ว

มาเข้าเรื่องครั้งนี้ดีกว่า เราขอแบ่งเล่าเป็น 4 ตอนนะคะ ตามสนามบินที่เราต้องผ่านทั้งหมดเนื้อหาละเอียดและยาวหน่อย เพื่อเป็นข้อมูลให้ทุกท่าน จะได้ไม่ต้องกลัวและสับสนกับการเดินทางคนเดียว เชื่อว่าหลายท่านไม่คุ้นเคยกับการเดินทางและแอบกลัวการเดินทางไกลคนเดียวใช่มั้ยคะ เพราะเราก็เคยเป็นสำหรับท่านที่ขี้เกียจอ่านยาวๆ เยิ่นเย้อ เวิ่นเว้อ ก็อ่านข้อมูลโดยสรุปในรูปภาพแล้วกันนะคะ

คราวนี้เป็นการเดินทางไปอเมริกาด้วยตั๋วเที่ยวเดียวค่ะ ด้วยวีซ่า CR-1 เราได้วีซ่า CR-1 เมื่อ 17 ส.ค. 55 แต่เดินทางเดือน ธ.ค. ค่ะ เพราะรอยื่นเรื่องลาออกจากงานและอยากใช้เวลากับที่บ้านก่อนเดินทางเส้นทางที่เราเลือก คือ บินกับ American Airlines จาก BKK ไปลง NRT (นาริตะ) รอต่อเครื่อง 8 ชม. 50 นาที จากนั้น NRT ไป LAX (ลอสแองเจลิส) และจาก LAX ไป SAN (ซานดีเอโก้) ตามภาพ


ทีแรกเราจะเลือกเส้นทางอีกเส้นนึง คือ จาก BKK ไป NRT และจาก NRT ไป SAN เลย (แฟนเราบอกเส้นทางจากโตเกียวบินตรงมาซานดีเอโก้นี่ เพิ่งเปิดเดือนนี้นี่เองค่ะ) โดยขาแรกจะเป็นเครื่อง TG ของการบินไทย และอีกขาเป็น American Airlines แต่เรากังวลนิดหน่อยเรื่อง ตม. ที่สนามบินซานดีเอโก้ เพราะเป็นสนามบินนานาชาติเล็กๆ กลัวไม่แม่นเรื่อง immigrant visa อย่าง CR-1 ที่เราถือมาครั้งนี้ และก็จริงๆ เพราะเราค้นจนเจอ review ของคนที่ถือ CR-1 จากยุโรปมาลงที่ SAN เมื่อปีก่อน เล่าว่า ตม. ที่ SAN ดูไม่ถนัดกับวีซ่าประเภทนี้ เลยใช้เวลานาน และสุดท้ายมีการผิดพลาดซึ่ง ตม. ที่สนามบินแก้ไขให้ไม่ได้ ผ่านมาเกือบปีก็ยังตามแก้ไม่เสร็จเลยค่ะ เราเลยเปลี่ยนใจไปลง LAX ดีกว่า ต้องต่อเครื่องอีกรอบ แต่ก็สบายใจกว่า

ทีนี้ ครั้งที่แล้วที่เรามาเยี่ยมสามีช่วงก่อนวันสัมภาษณ์ ตม. เค้าบอกเราว่าคราวต่อไปที่เรามาด้วย CR-1 จะใช้เวลามากกว่าปกติในการผ่าน ตม. เพราะจะต้องมีการดำเนินการที่มากกว่า เราก็แอบห่วงเหมือนกันว่าเวลาต่อเครื่องจาก LAX ไป SAN คราวนี้จะพอหรือเปล่า แต่ก็วัดดวงเอา เพราะไม่อยากรอนานกว่านี้ แค่ที่โตเกียวก็ 9 ชม. ละ ตรงนี้เราเช็ค terminal แล้วก็แอบสบายใจ เพราะ AA จะมี terminal ของตัวเอง คือ terminal 4 แต่แอบงงนิดนึงตอนเช็คที่เว็บของ AA ว่าทำไมมีหมายเหตุว่าต้องเปลี่ยน terminal เพราะเครื่องเราลงที่ gate 41 และ ต้องขึ้นเครื่องอีกทีที่ gate 44 มันก็ terminal เดียวกันนี่นา เดี๋ยวเราเฉลยตรงนี้ทีหลังนะคะ

ถึงตรงนี้อยากอธิบายเรื่องสนามบิน LAX แต่กลัวจะยืดยาวเกินไป เราขอเอาไปอธิบายไว้ท้ายเรื่องแล้วกันนะคะ แต่อยากฝากเตือนไว้ว่า พี่ๆ น้องๆ เวลาจะซื้อตั๋ว เช็คเรื่องเวลาต่อเครื่องกับ terminal ให้ดีด้วยนะคะ ถ้าต้องเปลี่ยน terminal ให้เผื่อเวลาเดินทางจาก terminal นึงไปอีก terminal นึงด้วยนะคะ


วันที่ 10 ธ.ค. เราถึงสนามบิน 3 ทุ่ม เครื่องออก 11:15PM สายการบิน American Airlines จากไทยจะเป็น operated by JAL นะคะ เพราะงั้นก็ check in ที่เคาน์เตอร์ของ JAL รับ boarding pass ใบ tag ที่กระเป๋าเดินทางจะมีปลายทางที่ SAN แต่อย่างที่บอกว่าต้องรับกระเป๋าที่ LAX ซึ่งเป็น port of entry ของเราในการเข้าเมกา และ recheck อีกทีไป SAN

มาดู boarding pass ทั้ง 3 ใบ ที่ได้จากการ check in ที่สนามบินสุวรรณภูมิของเรากันใบแรก จาก BKK ไป NRT สายการบิน AA5865 บน boarding pass เขียนว่า JL718 sold as AA5865 เพราะอย่างที่บอกค่ะว่า operated by JAL เพราะงั้นก็คือเครื่อง JAL นั่นเองใบที่ 2 จาก NRT ไป LAX ใบนี้ยังไม่รู้เกท เพราะงั้นต้องไปเช็กอีกทีบนบอร์ดที่สนามบิน NRTใบที่ 3 จาก LAX ไป SAN ยังไม่รู้เกท

ก่อนขึ้นเครื่องเราแลกเงินเยนมาเผื่อไว้ด้วย 4,000 เยน ใครที่รอต่อเครื่องนานๆ ก็อย่าลืมพกเงินเยนมาด้วยนะคะ เราขอข้ามเวลาอยู่บนเครื่องบนไปนะคะ


เครื่องมาถึงนาริตะเร็วกว่ากำหนดค่ะ โดยถึงราวๆ 6:30AM เครื่องเรามาลงที่ terminal 2 (และเราต้องต่อเครื่องที่ terminal นี้ด้วย) ลงเครื่องแล้วก็มองหาป้าย International Connecting Flight แล้วเดินตามป้ายไป ทีแรกเรากะจะขอ shore pass เพื่อออกไปเที่ยวนอกสนามบินระหว่างคอยค่ะ แต่ปรากฏว่าที่ terminal 2 นี่เคาน์เตอร์ Connection flight ดันอยู่หลังจุด security check point และแถวผ่าน security ยาวมาก ชม. กว่าๆ เราถึงผ่านไปได้ แถมพอผ่านมาได้ ที่เคาน์เตอร์ connection flight ก็คนต่อคิวรอรับบริการเยอะมาก เราเลยชักขี้เกียจ ไม่ขอดีกว่าชอร์พ้งชอร์พาสเนี่ย เดินเล่นในสนามบินก็ได้ ง่วงด้วย เพราะงั้นถ้าใครรอต่อเครื่องนานๆ แล้วกะจะออกไปเที่ยวแน่นอนก็ควรขอ transit visa จากไทยไปเลยนะคะเราก็เดินเล่นนั่งเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อย มีห้อง daily room ให้เช่าอาบน้ำนอนพักได้ด้วย ชม. ละ 1,500 เยนแน่ะ เลยไม่เอาดีกว่า มีติดตัวแค่ 4,000 เอง อินเทอร์เน็ตก็ไม่มีให้เล่น จะมีเฉพาะที่เกทเท่านั้น เราเลยเดินไปนั่งที่เกทชาวบ้าน เพราะยังไม่รู้เกทตัวเอง ถือโอกาสนี้เช็คเกทที่เราจะไปลงและขึ้นต่อเครื่องที่เมกาด้วยเลย โดยเปิดเว็บ AA เพื่อ check flight status ก็รู้ว่าลงเกท 41 และขึ้นเกท 44J terminal เดียวกันน่าจะชิลๆ เพราะเคยนั่ง Delta กะ United ที่มี terminal ของตัวเอง คนไม่เยอะ น่าจะใช้เวลาผ่าน ตม. กะ Custom ไม่นาน ระหว่างนี้ก็แชทกะแม่ไปด้วย

พอรู้เกทตัวเองจากบอร์ดแล้วเราก็ไปที่เกทตัวเอง ซึ่งต้องนั่งรถไฟฟ้าระหว่างอาคารไป แป๊บเดียวก็ถึง พอบ่ายสามก็เปิดเว็บ check flight status อีกทีเพื่อความมั่นใจเรื่องเกท ถึงได้รู้ว่าไฟล์ทที่เรากะลังจะต้องขึ้นจาก NRT ไป LAX อะ delayed ชม. นึง โหย มาถึงก็เร็วแล้ว ยังได้ไปช้ากว่าเดิมอีก ชม. เท่ากับว่าเราอยู่ที่ NRT นี่ตั้งกะฟ้าสางยันตะวันตกดิน ก่อนถึงเวลาขึ้นเครื่องสักครึ่ง ชม. เราก็ได้ยินที่เคาน์เตอร์ที่เกทประกาศชื่อผู้โดยสาร ซึ่งมีชื่อเราด้วย เราก็ไปเข้าแถว พอถึงคิว เค้าก็ขอ boarding pass อีก 2 อันที่เราได้มาจากสุวรรณภูมิไป แล้วเปลี่ยนเป็น boarding pass ของ AA ให้เราแทน แต่ใบสุดท้ายก็ยังไม่ระบุเกทที่จะขึ้นเครื่องไป SAN อยู่ดี แถมเครื่องมาดีเลย์แบบนี้ เราจะมีเวลาต่อเครื่องพอมั้ยเนี่ย เฮ้อ

อะ โอเค ได้ขึ้นเครื่องละ ก็ขอข้ามไปถึงตอนลงเครื่องที่ LAX เลยละกัน อ้อ ตอนอยู่บนเครื่อง อย่าลืมขอใบ custom กะ i-94 จากแอร์มากรอกไว้ด้วยนะ ขอมาทั้ง 2 ใบแหละค่ะ กันเหนียว ใบ custom ต้องใช้แน่นอน แต่ I-94 นี่ ใช้/ไม่ใช้ก็ถือไปเกินดีกว่าขาด


ที่ LAX เครื่องลงที่ Gate 41 จริงอย่างๆ ที่เช็คมา ตอน 9:40AM ได้พอลงเครื่องปุ๊บ เดินพ้นประตูเครื่องมาได้นี้ดดดเดียวด็เจอป้ายติดไว้ว่าใครที่ต่อเครื่องไปเมืองตามนี้ให้ไปหยิบ boarding pass ที่วางเรียงไว้ให้ด้วย มีซานดีเอโก้ด้วย เราก็หา boarding pass ของเรา ซึ่งทุกอันที่วางเรียงไว้ให้นี่จะเป็นซองสีส้มๆ เขียนว่า Express Connection ใครที่ได้แบบนี้ให้ถือไว้ในมือนะคะ ห้ามเอาใส่กระเป๋า เอาถือไว้ให้ทุกคนเห็นถ้วนทั่วกัน เพราะมันแปลว่าถ้ามัวชักช้าคุณจะตกเครื่องต่อไปค่ะ ตอนแรกเราก็ไม่รู้ ไม่ได้อ่านอะไรบนซองเลย แต่ไม่มีเวลาเอาเก็บเลยถือไว้ตลอด พอหยิบได้ปุ๊บเราก็เดินตามป้ายที่บอกว่าไป Immigration ซึ่งพอเดินๆ ไปก็เอะใจว่า เอ๊ะ ทำไมมันออกมานอกอาคาร และป้ายบอกทางยังเป็นป้ายที่ไป Tom Bradley International Terminal (TBIT) ด้วย เลยถึงบางอ้อว่า ไอ้ที่มีหมายเหตุว่าต้องเปลี่ยน terminal มันเพราะอย่างนี้นี่เอง

คือสรุปว่า ถึงจะมี Terminal 4 เป็นของตัวเอง แต่ไม่มี ตม. กะ custom เป็นของตัวเองค่ะ ต้องใช้ร่วมกับ Tom Bradley พอถึงตรงนี้เราก็ชักหนาวๆ ว่าจะตกเครื่องต่อไปมั้ยฟะกรู เพราะที่ terminal นี้จะรวมหลายสายการบิน ทำให้คนเยอะมากกกกก พอเดินไปถึง ตม. ก็อยากอุทานว่า OMG คนเยอะโพด เราถูกเจ้าหน้าที่ไล่ให้เดินไปเข้าไปช่องในๆ เรื่อยๆ ซึ่งจะดูโล่งๆ กว่า เราก็เข้าใจว่าคนคงขี้เกียจเดินเข้าไปข้างในกัน เลยมากองกันอยู่ข้างนอกทำให้คนเยอะ แต่ปรากฏว่ามี จนท. คนนึงเค้าชี้ซองส้มๆ ในมือเราแล้วบอกว่ายูอะ Express Connection เดินไปช่อง 1 นู่น เลย เราก็ถึงบางอ้อว่า อ้อ ไอ้ซองนี่มันอำนวยความเร็วให้เรานี่หว่า ไม่ต้องไปต่อช่องคนเยอะๆ จากนั้นเราเลยแทบอยากเอาแปะไว้ที่หน้าผากให้เห็นกันชัดๆ


แป๊บเดียวเราก็ได้มายืนอยู่หน้า จนท. ตม. เค้าก็ใช้มีดพกแกะซองน้ำตาลของเราที่ได้มาจากสถานทูต โยนซองทิ้งลงถังขยะ แล้วเอา I-94 ของเราโยนไปอีกทาง ให้เราแสกนมือขวา 4 นิ้ว ถอดแว่นตามองกล้อง (ทำหน้าตาดีๆ สวยๆ นะคะ เพราะรูปตอนนี้แหละที่จะไปปรากฏบน green card เราไม่รู้ มาเห็นเอาอีตอนได้ green card นี่แหละ) และคืนเอกสารในซองพร้อมพาสปอร์ตที่ stamp แล้วกับใบ custom คืนมาให้เรา บอกให้เราเดินไปอีกช่องนึงตรงนู้น จะมีคนมาพิมพ์มือให้ และไม่ถามอะไรเราสักคำ

เราก็เดินๆ ไป คิดว่า ช่องนี้มั้งวะนะ ก็เดินเข้าไป เจอป้ายว่า New Immigrant wait here เราก็รอ โดยไม่มีใครมาสนใจเราเลย เลยส่งพลังจิตจ้องหลังยัย จนท. ช่องนั้นให้หันมา แล้วนึกในใจว่า “กรูรีบนะโว้ย” สักพักชีก็หันมา ขอเอกสารเราไป และให้เราพิมพ์มือ คือ นิ้วชี้ขวานิ้วเดียว 2 ครั้ง และเซ็นต์เอกสาร 4 ครั้ง และมองที่ซองส้มๆ ของเราพร้อมถามว่าไฟล์ทยูกี่โมง เราบอก 11:40AM ชีบอก “oh, you are not gonna make it” เราพูดออกไปในทันที “no?” ประมาณว่า เห้ย จิงดิ เราต้องตกเครื่องจิงดิ จากนั้นชีก็บอก ยูไปนั่งรอตรงนู้นนะ เราก็ไป ตอนนั้นประมาณ 10:10AM

ตรงที่นั่งรอมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งนั่งอยู่ คาดว่าคงกะลังรออยู่เหมือนเรา เห็น เจ๊ จนท. คนนั้นเรียกไปคุย 2-3 ที พักนึงก็เสร็จ ส่วนเราก็รอๆ คิดว่าคงอีกไม่นานเพราะเจ๊คงกะลังทำเรื่องของเราละ เพราะหนุ่มสาวคู่นั้นมันไปละ สักอึดใจ เจ๊แกก็เรียกด้วยสายตาว่าเสร็จแล้ว เราก็รีบหยิบข้าวของวิ่งไปเอาพาสปอร์ตพร้อมใบ custom จากเจ๊แก ตอนนั้นประมาณ 10:45AM ตอนนั้นไม่มีเวลาดูว่ามีกระดาษ 2 ใบแนบมาด้วย มาดูทีหลังมันคือใบที่เราเซ็นต์ไปตอนพิมพ์มือ ให้เรารู้ว่าจะต้องยื่นปรับกรีนการ์ดเป็นสิบปีเมื่อไหร่ และประกันสังคมน่าจะได้เมื่อไหร่

เสร็จตรงนี้ปุ๊บเรารีบวิ่งไปเอากระเป๋า โอ้ แม่เจ้า มันอยู่อีกฟากของจุด ตม. จะกี้เลย ระหว่างทางเจอกรงหมาหมุนอยู่บนสายพานอื่น และตรงสายพานเราก็มีกรงหมา 2-3 กรงวางอยู่บนพื้น เห่ากันบ๊งๆ แต่ไม่มีเวลาไปสนใจ รอแป๊บนึงก็ได้กระเป๋าใบแรก รออีกอึดใจก็ได้ใบทีสอง ระหว่างรอก็ส่องหาแถวสั้นๆ เล็งไว้จะไปต่อ พอได้กระเป๋าครบก็เอาขึ้นรถเข็น (รถเข็นที่สนามบินนี้ฟรีนะ) เข็นไปต่อแถวชาวบ้านด้วยความไม่รู้อีกแล้ว โชคดีมี จนท. มาย้ายแถวและมาเห็นซองส้มๆ ของเรา ก็เลยบอกให้เราไปช่อง Express Connection ตรงกลางนู่น เลยรีบเข็นรถวิ่งไป ช่องนั้นไม่มีคนเลย เย้ (เป็นช่องที่มีทางเข้าเดียวกันกับพวกนักบินและลูกเรือ) จนท. Custom ถาม ยูมาทำอะไร คิดในใจกรูจะตอบไงดีล่ะ ไม่ได้มาเที่ยวเหมือนคราวก่อนๆ นี่เฟ้ย เลยตอบว่า I am a new immigrant เค้าก็บอก อ๋อ หรอ แล้วบอกให้เราเข็นกระเป๋าไปช่อง A นู่นเลย แม่เจ้า กรูยิ่งรีบๆ อยู่ ให้กรูไปสแกนกระเป๋าอีก แต่ดีที่ไม่มีคนเหมือนกัน เข็นถึงปุ๊บ สแกนปั๊บ เสร็จ เข็นออกมาคืนใบ custom ให้ จนท. แล้วเข็นมุ่งหน้าไปตามป้าย Exit เลย

พ้น custom มานี้ดดดเดียวก็เจอป้าย คือ ทางซ้ายนี่คือ exit ออกไปเลย ถ้าไม่ได้ต่อเครื่องก็ออกทางนี้ จะไปเจอคนที่มายืนรอรับ แต่ของเราต้องต่อเครื่องก็ต้องตามป้ายทางขวาที่เขียนว่า Connection หรือ Connecting อะไรประมาณนี้แหละ ไม่มีเวลาจำ เราก็รีบเข็นไป ตามทางจะมีป้ายบอกว่า Baggage Drop กะ Recheck มันลำบากอีตรงที่ต้องเข็นกระเป๋าหนักๆ ขึ้นเนินนี่แหละ พอถึงจุด จนท. มารับกระเป๋า ดู tag เราและถาม ซานดีเอโก้หรอ กี่โมง 11:40 หรอ เราก็ได้แค่ตอบว่า แฮ่กๆ เพราะกะลังหอบ ทิ้งกระเป๋าเสร็จเราก็วิ่งต่อโดยมีซองส้มๆ ในมือ เจอ จนท. ถามต่อ AA ใช่เปล่า ออกประตูแล้วเดินไปทางขวาเลย เราก็เดินไป โอ้แม่เจ้า เห็น terminal 4 อยู่ลิบๆ ตอนนั้น 11:00AM ซึ่ง boarding time ของเราคือ 11:10AM เราก็วิ่งไปๆ แต่ก็คิดในใจว่า กรูเหนื่อยแล้วเฟ้ย วิ่งไม่ไหวแล้ว ไม่ทันก็ช่างแม่ม แล้วก็ชลอฝีเท้าลงหน่อย

เครื่องบินในประเทศของ American Eagles ค่ะ สภาพดีกว่าของ United หลายขุม

ถึง terminal 4 ก็รีบสอดส่ายสายตาหาทางไปที่เกท ต้องขึ้นบันไดเลื่อน ก็มุ่งหน้าไปโดยมีซองสีส้มอยู่ในมือให้เห็นแบบเด่นๆ โดยทั่วกันตลอดเวลา พอขึ้นไปสุดบันได้เลื่อนก็เจอ จนท. ผู้หญิง ขอดูบอร์ดดิ้งพาส พอเห็นซองสีส้มของเราก็บอกเราว่า “Go to the old guy over there. He will help you.” (ไปหาลุงคนนั้นที่ฝั่งนู้นนะคะ เดี๋ยวลุงจะช่วยยูเอง) เราก็เดินไป ไม่ไกลมาก พอถึงเราก็โชว์ซองส้มให้ลุงดู ลุงก็พาลัดคิวด้วยการยกสายกั้นขึ้นให้เราเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ข้างในเลย รู้สึกเป็นคนพิเศษมาก อิอิ เข้าไปได้เราก็ถอดเสื้อแจ็คเก็ต รองเท้า เอา laptop ออกจากกระเป๋า และอื่นๆ วิ่งเข้าตู้สแกนไปยืนยกมือเหนือหัวเพื่อสแกนตัว ผ่านไปอย่างรวดเร็วก็วิ่งไปที่เกท ถึงเกท 44 เพื่อขึ้นรถ shuttle bus ไป gate 44J (ขออธิบายเรื่องเกทรวมกะเรื่อง terminal ต่างๆ ของ LAX ทีหลังนะ) พอถึงก็ยืนรอหน้า 44J เวลา 11:10AM พอดีแต่รู้สึกแหม่งๆ ว่าทำไมไม่เห็นมีคนรอขึ้นเครื่องเท่าไหร่ จากการที่วิ่งและรีบร้อนมาตลอดทางตั้งแต่ลงเครื่องเลยคอแห้งมาก พอดีมีเงินแบงค์เล็กๆ ที่เหลือจากการมาคราวก่อนติดตัวอยู่ เลยไปหยอดเงินซื้อน้ำขวดกินที่ตู้ขายน้ำ เดินกลับมาที่เกทก็ยังเงียบอยู่ สัก 11:30AM ก็ได้ยินแว่วๆ เหมือนเรียกชื่อเราให้ไปที่เกทอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่ 44J เราเลยเอะใจไปดูบอร์ด เอ้า San Diego มันจะออกที่ 44C นี่หว่า เลยรีบบึ่งไป แล้วเกทนั้นมันดันลึกลับซับซ้อนมาก กว่าจะหาเจอ พอเจอก็รีบไปที่เคาน์เตอร์ เค้าก็ให้เราขึ้นเครื่อง เราก็ Sorry ใหญ่ คิดว่าคงรอเราอยู่คนเดียว ขึ้นเครื่องก็เห็นคนนั่งกันเรียบร้อยเต็มลำ หาที่นั่งเจอก็เข้าไปนั่ง สักพักก็มีคนขึ้นมาอีก 2-3 คน เราก็โล่งใจ นึกว่าทั้งเครื่องรอเราอยู่คนเดียวซะอีก พอเครื่องจะออกก็ส่ง message บอกสามี


แป๊บเดียวก็ถึง Commuter Terminal ของ SAN เราชอบ terminal นี้มากเลย เคยนั่งมาลงครั้งนึงคราวก่อน จาก LAX เป็น terminal เล็กๆ ไม่วุ่นวายดี ลงเครื่องเดินเข้าประตูมาถ้ามองตรงไปจะเป็นประตูออกนอกอาคารด้านหน้า ถ้ามองไปทางขวามือก็จะเป็นสายพานรับกระเป๋า เป็นสายพานเล็กๆ มีอยู่อันเดียว เพราะงั้นไม่ต้องกลัวหากระเป๋ายาก รับกระเป๋าก็เข็นเดินออกประตูอาคารได้เลย ของเราเข็นกระเป๋าคนเดียวไม่ไหวเลยต้องเสียตังค์ 2 เหรียญหยอดเอารถเข็นมาหนึ่งคัน (ที่นี่ไม่ฟรีอะ ต้องหยอดตู้ด้วยแบงค์ ราคา $2 ต่อรถเข็น 1 คัน) แล้วก็เข็นออกไปยืนรอสามีหน้าอาคารเลย แป๊บเดียวรถสามีก็แล่นมาจอดเทียบ ส่งเราถึงบ้านแล้วก็กลับไปทำงาน เราอาบน้ำเสร็จก็งีบไปทั้งที่ท้องร้องโครกๆ สามีกลับบ้านมานอนงีบข้างๆ กันเมื่อไหร่มะรุ อิอิ

นี่ตอนลงเครื่องและกำลังเดินเข้าอาคารที่ Commuter Terminal ที่ SAN ค่ะ เครื่องที่เห็นเป็นเครื่อง United ที่เราเคยนั่งตอนมาครั้งที่แล้วค่ะ ทั้งเล็ก ทั้งเก่า ยิ่งกว่ารถทัวร์บ้านเราอีก





No comments:

Post a Comment

All contents and pictures in this blog is copyrighted@2009 by monkey-girl. All right reserved.

Back to TOP