Friday, February 20, 2015

ขายรูปถ่ายออนไลน์บนเว็บไซต์ Microstock ตอนพิเศษ: 100% students project by Alamy

ก่อนจะเขียนตอนที่ 3 ต่อ วันนี้ขอคั่นด้วยตอนพิเศษนะคะ เพราะไปเจอโครงการนี้ของ Alamy มา น่าจะมีคนสนใจเยอะ ก่อนอื่นขออธิบายคร่าวๆ ก่อนว่าโครงการ 100% students ของ Alamy นี่คืออะไร


- Alamy เป็นเว็บสต๊อกเว็บหนึ่ง ซึ่งออกไปทาง macrostock เป็นเว็บสุดท้ายที่เราสมัครมาเพื่อขายรูปค่ะ เราแทบไม่ค่อยได้อัพโหลดรูปขายที่นี่เลย แต่วันนี้เกิดอยากคลิกเข้ามาดู และอ่านหน้าเว็บไปมาก็มาเจอโครงการนี้ค่ะ
- 100% students project เป็นสำหรับคนที่ต้องการขายรูปกับทางเว็บนี้ค่ะ ซึ่งคนขายจะต้องเป็นนักเรียน
- ความพิเศษของโครงการนี้คือ ถ้าคุณเป็น นร ของสถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ (มีลิงค์รวมรายชื่อสถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการให้คลิกไปดูได้ค่ะ ที่ http://www.alamy.com/students/institutions-signed-up.asp) คุณสามารถส่งรูปไปขายกับ alamy ได้ โดยได้รับรายได้เต็มๆ แบบไม่ถูกหักเปอร์เซ็นต์จำนวน 2 ปี ซึ่งปกติเวลาขายรูปนั้น ทางเว็บ stock ต่างๆ จะหักเปอร์เซ็นต์ของรายได้ในแต่ละรูปมาแบ่งกับเราค่ะ
- การสมัครจะต้องใช้ e-mail ของคุณที่คุณได้จากสถานศึกษาค่ะ คือจะเป็น ยูสเซอร์เนมคุณ@สถานศึกษา อะไรประมาณนี้อะค่ะ
- สามารถคลิกลิงค์นี้เพื่อไปสมัครได้ค่ะ https://secure.alamy.com/registration/contributor-signup.aspx
- แต่ก่อนอื่น แนะนำให้ไปรายอ่านละเอียดได้ก่อน ที่นี่นะคะ http://www.alamy.com/students/default.asp

Thursday, February 19, 2015

ขายรูปถ่ายออนไลน์บนเว็บไซต์ Microstock ตอนที่ 3-1: เว็บไซต์ microstock (123RF)

วันนี้ไฟดับค่ะ เลยรู้สึกเหมือนไม่มีไรทำ ทั้งที่ปกติก็ทำกิจกรรมที่ไม่ได้ใช้ไฟสักหน่อยเนอะ

วันนี้จะมาเขียนถึงเว็บไซต์ที่เราไปสมัครขายรูปค่ะ เราอยากให้มองง่ายๆ ว่ามันเหมือนกับการที่คุณไปสมัครงาน เวลาคุณไปสมัครขายรูปกับเว็บไซต์พวกนี้ ก็คือคุณไปสมัครเพื่อขอทำงานเป็นช่างภาพให้เว็บไซต์ แต่คุณจะได้รับค่าจ้างตามจำนวนดาวน์โหลดของภาพคุณเท่านั้นเอง (และเนื่องจากเป็นการที่เราไปสมัครงานกับเค้า เพราะงั้นเราไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นในการขายรูปภาพค่ะ มีแต่จะได้เงินจากเค้าค่ะ)

อย่างที่บอกว่ามันเป็นการสมัครเป็นช่างภาพของเว็บ เพราะงั้นการสมัครก็เหมือนกับการสมัครงานปกติทั่วไปค่ะ สิ่งที่คุณต้องใช้ยื่นต่อนายจ้างก็คือ 
1) ข้อมูลส่วนตัวของคุณ (สแกน ID, passport, กรีนการ์ดรอไว้เลยค่ะ) 
          - ถ้าคุณอยู่ไทย คือ อาศัยในไทย หรืออาศัยที่อื่นนอกอเมริกา ก็สแกนพาสปอร์ตไทยของคุณส่งไปค่ะ ต้องใช้พาสปอร์ตนะคะกรณีนี้ อย่างอื่นไม่รับค่ะ
          - ถ้าคุณอาศัยในอเมริกา แต่ไม่ได้เป็น US citizen เช่น คุณถือกรีนการ์ดอยู่ ให้ส่งพาสปอร์ตไทยคู่กับกรีนการ์ดค่ะ สแกนลงไปในไฟล์เดียวกันเลยค่ะ เราไม่แน่ใจว่ากรณีนี้จะส่งแต่กรีนการ์ดอย่างเดียวได้มั้ย หรือใช้ ID หรือ deiver license ของเมกาอย่างใดอย่างนึงแทนได้มั้ยนะคะ ไม่เคยลองค่ะ ใครลองแล้วได้ผลยังไงมาบอกด้วยนะคะ
          - ถ้าเป็น US citizen ส่งพาสปอร์ตเมกันไปค่ะ หรืออาจจะใช้ ID หรือ driver license อย่างเดียวก็ได้มั้งคะ ไม่แน่ใจ ลองดูค่ะ เหมือนเดิมค่ะ ใครลองแล้วเป็นไงมาบอกบ้างนะคะ จะได้อัพเดทข้อมูลใหม่ค่ะ
ขอเล่าเพิ่มนิด ตอนแรกเราส่งแค่พาสปอร์ตไทยค่ะ แต่กรอกที่อยู่เราเป็นอเมริกา เค้าก็ส่งเมล์มาบอกว่าพาสปอร์ตเราไม่ผ่านค่ะ เพราะเราเป็น US resident ต้องส่งหลักฐานที่บอกว่าเป็น US resident ด้วยค่ะ
2) ข้อมูลทางการเงินที่จะให้นายจ้างโอนเงินให้คุณ วิธีสากลที่ใช้กันทุกที่และสะดวกปลอดภัยก็คือ paypal ค่ะ บางเว็บอาจมีการจ่ายวิธีอื่นๆ ให้ด้วย เช่น ส่งบัตรให้คุณกดเงินได้จากตู้ ATM หรือรูดใช้ได้เลย แต่ค่าธรรมเนียมก็แพงค่ะ โอนเข้าบัญชีคุณโดยตรง อันนี้อาจเสียเวลาตรวจสอบอะไรเยอะแยะ กว่าเงินจะเข้าและคุณเอาเงินมาใช้ได้ก็เสียเวลาหน่อย หรือส่งเช็คมาให้คุณ ก็ต้องส่งทางไปษณีย์ค่ะ การมีการตกหล่นสูญหาย ต้องเสียเวลาให้เค้าตรวจสอบแล้วส่งเช็คมาให้อีก สรุปคือเราว่า paypal สะดวกสุดแล้วค่ะ เพราะงั้นเตรียมบัญชี paypal ไว้ก่อนเลยด้วยค่ะ และ 
3) เรื่องภาษี (พูดถึงเฉพาะกรณีเว็บไซต์ที่เราจะขายรูปด้วยเป็นเว็บอเมริกันนะคะ) อันนี้รอไว้กรอกตอนได้ยอดเงินที่พอจะเบิกมาใช้ได้แล้วก็ได้ค่ะ ส่วนใหญ่เว็บจะมีการกำหนดว่าเรามียอดเงินสะสมขั้นต่ำเท่าไหร่ถึงจะขอเบิกเงินจากทางเว็บได้ เช่น ถ้าเว็บกำหนดไว้ว่ายอดขั้นต่ำที่จะเบิกได้คือ $50 ก็คือเราต้องสะสมยอดเงินให้ครบ $50 ถึงจะแจ้งทางเว็บให้โอนเงินเข้า paypal คุณได้ค่ะ
- ถ้าเป็น US resident จะต้องกรอก W-9 ส่งให้ทางเว็บค่ะ ทางเว็บจะมีการรายงานรายได้เราไปยัง IRS แต่ไม่หักเงินจากรายได้เราที่ขายรูปได้กับทางเว็บนะคะ เราต้องยื่นแบบและจ่ายภาษีประจำปีเองค่ะ โดยเมื่อครบปีภาษี ทางเว็บจะมีใบสรุปรายได้มาให้เราเพื่อนำไปใช้กรอกภาษีค่ะ
- ถ้าอาศัยนอกอเมริกา ก็กรอก W-8 ค่ะ (ถ้าจำชื่อฟอร์มไม่ผิดนะ)
4) การทดสอบว่าคุณมีคุณสมบัติเป็นช่างภาพให้เว็บไซต์ได้หรือไม่ ก็เหมือนกับการสอบข้อเขียนหรือสอบสัมภาษณ์เวลาเราสมัครงานปกตินั่นแหละค่ะ เค้าก็ต้องวัดคุณภาพเราก่อนค่ะ การสอบก็คือการอัพโหลดภาพที่เราถ่ายขึ้นไปให้ทางเว็บตรวจสอบว่าคุณสมบัติของภาพผ่านรึไม่ (คุณสมบัติของภาพ เช่น แสงในภาพ ความคมชัดของภาพ แนวภาพ องค์ประกอบในภาพ noise ขนาดของภาพ เป็นต้น) บางเว็บจะมีข้อเขียนให้คุณทดสอบเพิ่มมาอีกอย่างด้วยค่ะ

*ข้อควรระวังเกี่ยวกับการสมัครขายรูปนะคะ*
เนื่องจากว่าแต่ละเว็บจะมีสมาชิก 2 ประเภท (บางเว็บจะแยกการสมัครสมาชิก 2 ประเภทนี้ออกจากกันค่ะ แต่บางเว็บก็รวมกันแล้วมีที่ให้คลิกแยกหลังจาก log in เข้าไป) คือ คนขายรูปอย่างเราๆ กับคนซื้อรูปซึ่งจะเป็นลูกค้าเรานี่แหละค่ะ เพราะฉะนั้นเวลาเราสมัครขายรูป ให้เลือกสมัครในช่องทางของ contributers หรือ sellers นะคะ เราจะสมัครได้ฟรี ไม่เสียค่าใช่จ่ายอะไรแต่ประการใดค่ะ แต่ถ้าคุณคลิกผิด ไปสมัครในฐานะผู้ซื้อภาพ เค้าก็จะให้คุณซื้อแพคเกจเพื่อให้คุณดาวน์โหลดภาพไปใช้ได้ค่ะ
ทีนี้หากเราสมัครเป็นคนขายไปแล้ว เกิดวันนึงเราอยากซื้อรูปคนอื่นขึ้นมา บางเว็บอนุญาตให้เราใช้เงินที่เราได้จากการขายรูปกับทางเว็บไปใช้ซื้อรูปคนอื่นได้ด้วยค่ะ

*เพราะงั้นสมมติว่า ถ้าคุณกรอกข้อมูลสมัครไป แล้วเค้าบอกให้คุณจ่ายตังค์ขึ้นมา แปลว่าคุณสมัครผิดประเภทค่ะ แปลว่าคุณกำลังสมัครเป็นผู้ซื้อภาพไม่ใช่ผู้ขายภาพค่ะ*

เมื่อสมัครเสร็จสอบผ่านแล้วอะไรแล้วเรียบร้อย เราจะสามารถอัพโหลดรูปภาพของเราขึ้นไปขายได้แล้วค่ะ โดยได้จะได้สิ่งที่เรียกว่า portfolio มาหนึ่งอันจากแต่ละเว็บนะคะ portfolio นี้จะเป็นเหมือน gallery เก็บรูปภาพของเราที่เราอัพโหลดขึ้นไปและรูปผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติจากทางเว็บไซต์แล้วว่าเป็นรูปที่มีคุณสมบัติพอจะขายได้ค่ะ เราสามารถส่งลิงค์ portfolio ของเราให้เพื่อนๆ หรือคนอื่นๆ เข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของเราที่มีขายกับเว็บนั้นๆ ได้ค่ะ

ที่นี้เรามาไล่กันไปเป็นรายเว็บนะคะ ซึ่งเราไม่ขอลงรายละเอียด เพราะสมัครมานานแล้ว ลืมขั้นตอนการกรอกข้อมูลในการสมัครและการสอบไปหมดแล้วค่ะ แต่จะขอเล่าคร่าวๆ ว่าต้องทำอะไรบ้างละกันนะคะ ส่วนรายละเอียดน่าจะพอทำกันได้เองตอนลงมือจริงค่ะ ค่อยๆ กรอก ค่อยๆ อ่านไปทีละขั้นตอนตามที่เค้าให้กรอกนะคะ หรือจะหาหนังสือสองเล่มที่เราแนะนำให้อ่านก็ได้ค่ะ มีวิธีการกรอกข้อมูลการสมัครและการสอบแบบละเอียด step by step ค่ะ หรือจะเข้าไปศึกษาหรือตั้งกระทู้ถามที่ http://www.stockphotothailand.com/forums/ ก็ได้ค่ะ

1. 123rf.com - ไม่ต้องสอบ
ที่เอาเว็บน้ีขึ้นมาพูดถึงอันแรก เพราะมันไม่ต้องสอบค่ะ เหมาะสำหรับคนเริ่มต้น สามารถไปสมัครแล้วอัพโหลดรูปขายได้เลย เหมาะสำหรับใช้ทำความรู้จักคุ้นเคยกับระบบขายรูป stock ค่ะว่าต้องทำอย่างไรบ้าง เว็บ stock อื่นๆ ก็จะเหมือนๆ กันหมดค่ะ
ถึงแม้ว่าที่เว็บนี้คุณจะไม่ต้องสอบก่อน แต่รูปที่อัพขายเค้าจะคัดคุณภาพนะคะ ไม่ใช่ว่าคุณส่งอะไรไปเค้าก็เอาขึ้นขายให้หมด รูปไหนทางเว็บคิดว่าขายไม่ได้ เค้าก็จะไม่ขึ้น portfolio ให้เราค่ะ รูปที่ไม่ผ่านนี้เค้ามักจะมีบอกทุกเว็บค่ะว่าไม่ผ่านเพราะอะไร เพื่อให้เรานำไปปรับปรุงแก้ไขได้ถูกจุดค่ะ

ตัวอย่าง portfolio เราที่ 123rf ค่ะ (รูปน้อยนะคะ เราแทบไม่ค่อยได้อัพโหลดมานานแล้วค่ะ)

พร้อมแล้วก็คลิกที่รูปภาพแบนเนอร์ด้านล่างนี้เพื่อไปสมัครได้เลยค่ะ

Stock Photos from 123RF

พอคลิกรูปด้านบนเพื่อไปที่เว็บไซต์แล้ว ให้เลื่อนลงไปมุมขวาล่างของหน้าเว็บนะคะ มองหาคำว่า For Contributors ค่ะ (เป็นช่องทางของคนที่ต้องการขายภาพค่ะ) แล้วคลิกที่คำว่า Sell Images ค่ะ (image01)

(image01)

เมื่อคลิก Sell Images แล้ว จะมีหน้าตาตามนี้ค่ะ คลิกที่ START EARNING TODAY ค่ะ (image02)
(image02)

จะไปสู่หน้าสำหรับกรอกข้อมูลการสมัคริเป็นช่างภาพของเว็บค่ะ ขั้นตอนการสมัครก็อย่างที่บอกค่ะ ว่าต้องส่งข้อมูลส่วนตัวของคุณ ตาม 1) (image03)
(image03)

สมมติว่าคุณกรอกข้อมูลส่วนตัวอะไรเสร็จเรียบร้อย จะมีช่องทางให้เข้าไปอัพโหลดรูปค่ะ หน้าตาช่องทางการอัพโหลดรูปของของเว็บนี้จะประมาณนี้ (image04)
(image04)

เมื่ออัพโหลดรูปเสร็จ เราสามารถจะใส่ข้อมูลให้รูปได้ ตามภาพค่ะ ข้อมูลที่ว่านี่โดยทั่วไปจะเป็น title ภาพ Description คีย์เวิร์ด หมวดหมู่ของภาพประมาณนี้ค่ะ โดยทั่วๆ ไปเวลาเราอัพโหลดรูปขายบนเว็บสต๊อก เราจะต้องใส่ข้อมูลเหล่านี้ค่ะ แต่เว็บ 123rf นี่ให้ใส่แค่ description กับ keywords (รายละเอียดเรื่อง title, description กับ keyword เราจะใส่รายละเอียดให้ในหัวข้อ "การเตรียมภาพสำหรับอัพโหลดขึ้นเว็บ stock นะคะ" (image05)
(image05)


ประมาณนี้ล่ะค่ะ เอนทรีนี้ขอจบแค่นี้ จะได้ไม่ยาวเกิน เราจะขอแยกเขียนรายเว็บไว้คนละเอนทรีนะคะ

Thursday, February 12, 2015

ขายรูปถ่ายออนไลน์บนเว็บไซต์ Microstock ตอนที่ 2: ภาพถ่ายแนว stock คืออะไร และ คุณสมบัติของภาพ stock


 ขออภัยนะคะที่หายไปนานหลายเดือน วันนี้ขอมาเขียนต่อตอนที่ 2 ค่ะ เราขอพูดถึง 2 เรื่องตามหัวข้อรวมกันเลยนะคะ เพราะคงแยกลำบาก

ตามหัวข้อนะคะ ภาพถ่ายแนว stock คืออะไร บางคนไม่เข้าใจเรื่องภาพ stock แต่ชอบถ่ายรูป แล้วก็เลยอยากเอารูปตัวเองมาขาย เราจะขอบอกก่อนเลยว่า ภาพแนวสต๊อกค่อนข้างจะแตกต่างกับการถ่ายภาพทั่วไปที่เน้นความสวยงาม หรือบางคนก็ถ่ายรูปเพื่อปลดปล่อยความอาร์ทของตัวเอง ภาพแนวสต๊อกไม่ต้องการอาร์ทค่ะ สวยงามอะก็ใช่ แต่ไม่จำเป็น  เพราะไม่ใช่ตลาดหลักของภาพสวยงามค่ะ

หมายเหตุ ภาพที่จะนำมาขายไม่จำเป็นต้องเป็นภาพถ่ายอย่างเดียวนะคะ จะเป็นภาพที่ทำขึ้นด้วยโปรแกรมต่างๆ จากฝีมือเราเองก็ได้ เช่น ภาพที่วาดหรือตกแต่งขึ้นมาเองโดชใช้ photoshop หรือภาพที่วาดด้วย illustrator หรือเรายังสามารถถ่ายภาพวาดฝีมือเราเองบนกระดาษมาขายก็ได้ค่ะ หรือจะวาดด้วยแอพบนมือถือก็ยังได้ และภาพตัดปะจากกระดาษฝีมือคุณเองก็ถ่ายมาขายได้ค่ะ

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ขออธิบายแบบนี้ ก่อนคุณจะถ่ายภาพมาขาย ให้สมมติตัวคุณเองเป็นคนที่จะมาซื้อภาพไปใช้งาน แล้วคิดดูซิว่า ภาพที่คุณจะถ่ายออกมาเพื่อนำไปขายนั้นจะมีคนซื้อไปใช้งานมั้ย และซื้อไปทำอะไร คนที่เข้ามาซื้อรูปภาพในเว็บสต๊อกส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มามองหาวัตถุดิบค่ะ วัตถุดิบเพื่อนำไปใช้งานต่อ เช่น ประกอบบทความลงหนังสือหรือบนเว็บไซต์ ประกอบรายงาน ประกอบสื่อโฆษณา ทำโบรชัวร์ นำไปตัดต่อรวมกับรูปอื่นๆ เพื่อใช้งานต่อไป เป็นต้น

ส่วนรูปภาพแนวอาร์ทหรือสวยงาม จะเหมาะสำหรับซื้อไปปริ๊นท์ประดับฝาผนังอะไรงี้มากกว่าค่ะ ซึ่งไม่ใช่ตลาดหลักในเว็บสต๊อก เพราะงั้นบางคนถ่ายภาพออกมาสวยมาก แต่กลับต้องแปลกใจว่าทำไมเว็บสต๊อกไม่รับ หรือรับไปขายก็ไม่มีคนมาดาวน์โหลด นั่นเพราะเค้าไม่รู้จะซื้อเอาไปทำอะไรค่ะ

ภาพที่ขายดีบนเว็บสต๊อกจำนวนมากมาย เป็นภาพธรรมดาๆ ไม่หวือหวาอะไรเลย แต่มียอดดาวน์โหลดสูงมาก นั่นเพราะ คนสามารถซื้อไปใช้งานได้หลายรูปแบบนั่นเอง

ภาพที่ขายดีบนเว็บสต๊อก ได้แก่ 
- ภาพพื้นหลังขาว อันนี้เป็นภาพของวัตถุบนพื้นหลังขาว พื้นหลังก็จะต้องขาวจริงๆ นะคะ แต่วัตถุจะต้องชัดและแสงทั่วถึง ภาพแบบนี้คนซื้อสามารถนำไปใช้งานต่อได้หลากหลาย เพราะสามารถตัดต่อพื้นหลังออกไปให้เหลือแต่วัตถุได้ง่าย วัตถุนั้นก็จะถูกนำไปใช้ต่อได้ง่ายค่ะ เช่น เอาไปแปะลงในรูปอื่น เป็นต้น
- ภาพไอเดีย เป็นภาพที่นำไปใช้งานได้เยอะเหมือนกันค่ะ เพราะนำไปประกอบบทความได้เยอะ ยกตัวอย่างภาพแนวนี้ของเราคือ ภาพเราบนที่นอนโดยมีผ้าห่มคลุมมิดทั้งตัว โผล่มาแต่เท้า 
- ภาพ illustration ที่เป็นพวก icon อะไรทำนองนี้ หรือการ์ตูนชิ้นเล็กๆ เนื่องจากสามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายเช่นกันค่ะ
- ภาพคนทำกิจกรรมต่างๆ ค่ะ โดยเฉพาะกิจกรรมครอบครัว มีเด็กๆ เป็นต้น
นึกออกแค่นี้ ไว้นึกออกมากกว่านี้จะมาลงให้เพิ่มเติมนะคะ

ส่วนเรื่องคุณสมบัติของภาพที่เว็บไซต์สต๊อกต้องการ เราขอยกตัวอย่างของเว็บ shutterstock มาให้ดูละกันค่ะ เพราะอ่านง่ายดี เป็น Contributor Success Guide ค่ะ เพิ่งรู้ว่ามีภาษาไทยให้อ่านด้วยค่ะ ลองไปดาวน์โหลดอ่านดูนะคะ ที่ http://submit.shutterstock.com/guides/success 


เราขอสรุปมาให้คร่าวๆ ตามนี้ค่ะ

ในเล่มจะพูดถึงการหาแรงบันดาลใจในการถ่ายรูปสต๊อก และ กระแสนิยมในรูปสต๊อก 10 ประการค่ะ
1. ภาพที่จะเอาไปใช้ในสังคมออนไลน์ ดูว่าอะไรเป็นประเด็นที่กำลังพูดถึงในสังคมออนไลน์ ก็ถ่ายภาพที่คิดว่าจะขายได้ตามแนวนี้ค่ะ
2. หนังสือ ดูข่าวบ้านเมืองทั่วไปว่า เค้ากำลังพูดถึงประเด็นอะไรกันอยู่ และเราถ่ายภาพให้เข้ากับประเด็นได้หรือไม่
3. แฟชั่นและการแต่งบ้าน เทรนด์ ณ ตอนนี้กำลังเป็นแบบไหน ก็ถ่ายมาเลยค่ะ
4. เทคโนโลยี เทรนด์ด้านเทคโนโลยีค่ะ ก็ลองคิดหาไอเดียถ่ายหรือจะวาดจะตกแต่งเองบนซอฟท์แวร์ก็ได้เลยค่ะ
5. ประชากร อันนี้จะเป็นเรื่องของความหลากหลายทางวัฒนธรรม หรืออะไรต่างๆ ที่แสดงถึงด้านนี้ ปัจจุบันกำลังพูดถึงประเด็นไหนเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ก็หาไอเดียถ่ายรูปได้เลยค่ะ
6. เหตุการณ์ต่างๆ ลองดูว่ามีเหตุการณ์อะไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ก็ลองหาไอเดียให้เข้ากับสถานการณ์ค่ะ
7. วิถีชีวิตในท้องถิ่นคุณ เช่น อาหาร แฟชั่น สถาปัตยกรรม เป็นต้น
8. วันหยุดและเทศกาลต่างๆ อย่างเราเองก็จะดูล่วงหน้าสัก 2 เดือนค่ะว่าจะมีวันสำคัญอะไร เช่น วาเลนไทน์ ก็จะถ่ายภาพเกี่ยวกับวันวาเลนไทน์และถ่ายภาพส่งเว็บก่อนล่วงหน้าสัก 2 เดือนค่ะ เพราะคนมักจะมาซื้อล่วงหน้าค่ะ เช่น สมมติ ตอนนี้เดือนตุลาคม ก็ควรจะเริ่มหาไอเดียถ่ายภาพ หรืือวิดีโอ หรือวาดภาพเกี่ยวกับคริสต์มาสและปีใหม่ แล้วอัพโหลดส่งไปทางเว็บค่ะ สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ เช่น หนังสือ ใบปลิวโฆษณา มักจะพิมพ์ล่วงหน้าก่อนถึงเหตุการณ์หนึ่งเดือน เพราะงั้นคนทำสื่อมักจะหารูปคริสต์มาสล่วงหน้า 1-2 เดือนค่ะ เพื่อเอามาเขียนให้ทันตีพิมพ์หนังสือในต้นเดือนธันวาคม
9. ศิลปะร่วมสมัย อันนี้คือให้เราคิดไอเดียแบบร่วมสมัยของเราเองค่ะ รวมถึงเทคนิคใหม่ๆ ต่างๆ ที่จะนำมาใช้ในการถ่ายภาพได้ค่ะ
10. ศิลปะแบบคลาสสิค อันนี้คือแรงบันดาลใจค่ะ ซึ่งศิลปะคลาสสิคตามพิพิธภัณฑ์หรืองานแสดงศิลปะต่างๆ ก็สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้ค่ะ

ข้อควรระวังเกี่ยวกับการส่งภาพขาย
1. logo หรือชื่อธุรกิจต่างๆ บนภาพ โดยมากทางเว็บสต๊อกจะไม่ต้อการให้มีปรากฏในภาพค่ะ เราต้องลบออกให้หมดก่อนส่งภาพ ไม่งั้นทางเว็บก็ไม่รับภาพไปขายแบบ commercial ค่ะ เพราะมีผลเรื่องของลิขสิทธิ์ต่างๆ แต่ถ้าเราไม่ลบ สามารถส่งภาพขายในหมวด editorial ได้ค่ะ
2. ภาพคน ถ้าจะส่งแบบ commercial จะต้องส่ง model release แนบไปด้วยค่ะ โดยทุกคนที่ปรากฏอยู่บนภาพจะต้องเซ็นต์ชื่ออนุญาตให้เราสามารถนำภาพนั้นมาขายได้ค่ะ ใบ model release นี้หาได้ที่เว็บสต๊อกแต่ละรายค่ะ บางรายจะรับเฉพาะแบบฟอร์ม model relaese ที่ตนเองออกแบบมาเท่านั้นค่ะ ถ้าไม่มี model release คนที่อยู่บนภาพสามารถฟ้องเราได้ค่ะว่าเอาภาพเค้ามาขายโดยไม่ได้รับอนุญาต ถ้าไม่มี model release สามารถส่งภาพขายแบบ editorial ได้ค่ะ
3. ภาพสถานที่ จะต้องมี property release ค่ะ อันนี้ตอบยากสักหน่อยว่าสถานที่แบบไหนที่ต้องมี property release ตอบง่ายๆ คือ ภาพของสถานที่ที่มีเจ้าของค่ะ เช่น โรงแรม เป็นต้น ก่อนจะส่งภาพขายคิดง่ายๆ คือว่า ถ้าเราไม่แน่ใจว่าเจ้าของสถานที่ฟ้องเรามั้ยว่าเราเอารูปสถานที่ของเขามาขาย ก็ไม่ควรอัพโหลดขายค่ะ นอกจากจะไปให้เจ้าของสถานที่เซ็นต์ property release มาให้ โดนฟ้องขึ้นมาไม่คุ้มเลยค่ะ ถ้าไม่มี property release สามารถส่งภาพขายแบบ editorial ได้ค่ะ

ทีนี้คงมีคนสงสัยว่า commercial กับ editorial คืออะไร ต่างกันยังไง อธิบายคร่าวๆ ตามนี้ค่ะ
- commercial คือภาพที่ขายเพื่อสามารถนำไปใช้ทางการค้าได้ คนที่มาซื้อมาสามารถนำภาพไปใช้ได้หลากหลายแบบ ใช้ภาพไปหาเงินต่อได้ เช่น ประกอบสื่อโฆษณา เป็นต้นค่ะ ภาพหมวดนี้จะขายง่ายกว่า เพราะตลาดกว้างกว่าค่ะ
- editorial จะไม่สามารถนำภาพไปใช้เชิงพาณิชย์ได้ โดยส่วนมากจะเอาไปประกอบข่าวค่ะ ภาพหมวดนี้คนไม่ค่อยนิยมขายเพราะตลาดมันแคบค่ะ โดยมากก็มีแค่พวก นสพ มาซื้อเอาไปประกอบข่าวอะไรทำนองนี้คะ


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นลองคิดดูนะคะ ว่าจะถ่ายภาพอัพแบบ commercial แต่ไม่มีคนซื้อ เพราะแนวภาพไม่สามารถใช้งานได้หลากหลาย (ไม่โดนใจตลาด) หรือจะลองอัพแบบ editorial ดู แต่มีคนซื้อดีกว่ากันค่ะ ที่พูดแบบนี้เพราะ เรามีภาพหลายๆ ภาพแบบ commercial ที่ไม่มียอดดาวน์โหลดเลย (คิดแทบตายว่าจะถ่ายอะไรดีให้ผ่านตามคุณสมบัติของเว็บและเว็บจะ approve เอาไปขาย รูปผ่านการ approve ได้เข้าไปขายก็จรริง แต่ดันไม่มีคนมาโหลด เพราะรูปไม่ถูกใจตลาด) แต่มีภาพบางภาพแบบ editorial ที่มีคนมาดาวน์โหลดอยู่เนืองๆ ค่ะ (ถ่ายตอนไปเที่ยวอะไรงี้ค่ะ เช่น เรือของ Navy ไรงี้ นั่งเรือผ่านก็กดๆ กล้องถ่ายมา เอามาอัพขายแบบ editorial ก็มีคนมาซื้อเรื่อยๆ ราคาก็ได้เท่ากับแบบ commercial ค่ะ เราว่าแบบนี้ไม่ต้องระวังมากนัก ติดคนก็ได้ ติดยี่ห้อต่างๆ ก็ได้ ไม่ต้องมานั่งลบ เพียงแต่ว่าการเขียน description กับ title จะเรื่องมากหน่อยค่ะ)

จบแค่นี้นะคะสำหรับตอนนี้ เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จะพยายามมาเขียนต่อให้เร็วๆ ค่ะ

Tuesday, December 16, 2014

ไปทำ dog license ให้มายา กะ พาเอ็นเดอร์ไปฝังไมโครชิพฟรีที่ shelter

คราวก่อนที่ไปรับมายาจากคลีนิค เราถามเรื่องฝังไมโครชิพ เพราะเอ็นเดอร์ยังไม่ได้ฝังไมโครชิพอยู่ตัวเดียว (อาจเป็นเพราะตอนนั้นเอ็นเดอร์ยังเล็ก shelter นั้นเลยยังไม่ได้ฝังให้) เนื่องจากคลีนิคนี้เป็นคลีนิคของ shelter จึงมีราคาค่าบริการถูกกว่าข้างนอก ฝังไมโครชิพ $20 นอกจากนี้ก็มีฉีดวัคซีน ทำหมัน รักษา low cost แต่เรื่องการรักษานี่รู้สึกว่าต้องได้รับ approved ถึงจะรักษาที่นี่ได้ ไมโครชิพกับวัคซีนไม่ต้องนัด เราเลยอยากถามให้แน่ใจจะได้พาเอ็นเดอร์มาได้ถูกเวลาถูกวัน

ปรากฏว่า พยาบาลที่เคาน์เตอร์เค้าบอกว่า ให้เราพาแมวเราไปที่ shelter ที่อุปการะมายากับคูเปอร์นั่นแหละ เค้าทำให้ฟรีถ้าอาศัยอยู่เมืองนี้ เราก็โอเคแล้วเก็บข้อมูลไว้ก่อน กะว่ารอสามีกลับจากเดินทางค่อยว่ากันอีกที

หลายวันต่อมาลูกชายอยากพามายาไปเล่นที่ dog park แต่เราไปเช็คมาแล้วปรากฏว่าเค้ามีกฎว่าต้องมี dog license และให้ใส่ที่ตัวหมาในที่ที่มองเห็นได้ เราเลยบอกสามีไป เค้าเลยบอกให้เราไปทำ license ให้มายาที่ shelter เราก็เลยค้นใบรับรองทำหมันกับใบรับรองวัคซีนพิษสุนัขบ้าของมายามาแล้วขับรถไป shelter

ไปถึงก็รับบัตรคิว กรอกเอกสาร license รอไว้ พอถึงคิวก็ยื่นเอกสาร จ่ายเงิน $15 ต่อปี (ถ้ายังไม่ได้ทำหมันจะราคาสูงกว่านี้หลายสิบเหรียญ) ซึ่ง dog license นี้จะหมดอายุวันเดียวกับวันที่วัคซีนพิษสุนัขบ้าหมดอายุ

เสร็จเรียบร้อยเราก็ถาม shelter เรื่องเอาแมวเรามาฝังไมโครชิพ เค้าก็บอกว่าเอามาทำได้ แต่ต้องไปที่อีกประตูนึงซึ่งทางเข้าคนละทางกับตอนเข้า shelter เพื่ออุปาระสัตว์นั่นเอง ประตูอยู่ข้างๆ กันนั่นแหละ แล้วเราก็ถามว่าต้องใช้เอกสารอะไรมั้ย เค้าก็บอกแค่เอกสารที่บ่งบอกว่าเป็น resident ของเมืองนี้

จากนั้น เราก็กลับบ้านไปเอาเอ็นเดอร์มาที่ shelter ทันที มาถึงก็เดินเข้าประตูที่ว่า เป็นส่วนของ surrender ซึ่งเค้าบอกว่าเราเอาแมวเราเข้าไปทำได้ที่นี่ ในนั้นจะมีห้องตรวจอยู่ 2-3 ห้อง เราไปถึงก็บอกเจ้าหน้าที่ว่าพาแมวเรามาฝังไมโครชิพ เค้าก็ driver license เราไปสำเนา และเนื่องจากที่อยู่บนบัตรเราเป็นบ้านเก่าซึ่งไม่ใช่เมืองปัจจุบัน เค้าเลยขอให้เราเขียนที่อยู่ปัจจุบันให้ จากนั้นเค้าก็กรอกข้อมูลแป๊บนึงแล้วหันมาถามเราว่ารู้จักคนชื่อนี้มั้ย ซึ่งก็คือสามีเราเอง นั่นเพราะเค้ากรอกที่อยู่เราแล้วไปเจอสามีเราในระบบ เพราะเพิ่งทำเรื่องรับอุปการะหมาแมวมาจากที่นี่ เค้าก็เลย add ชื่อเราเข้าไปเพิ่ม แล้วก็ขอชื่อ อายุ สี ของเอ็นเดอร์ แล้วให้เรารอแป๊บ

เอ็นเดอร์รอฝังไมโครชิพ

จากนั้นเค้าก็เอากระดาษที่เป็นข้อมูลเอ็นเดอร์และเลขไมโครชิพพร้อม tag มาให้เรา แล้วก็มีคุณหมอหรือพยาบาลไม่รุ มาหิ้วกรงเอ็นเดอร์เข้าห้องไป ไม่เกินสิบวินาทีเค้าก็หิ้วออกมาคืน แล้วสแกนไมโครชิพจากตัวเอ็นเดอร์ให้เราดู เสร็จเรียบร้อยเราก็กลับบ้าน ระหว่างเก็บของจะออกจาก shelter เอ็นเดอร์ร้องเมี้ยวขึ้นมาเสียงเล็กๆ น่ารัก คนใน surrender office หันมามองเราเป็นตาเดียวเลย ยิ้มให้ด้วย อิอิ เอ็นเดอร์ร้องน่ารักสินะ

ดีใจที่เอ็นเดอร์มีไมโครชิพแล้ว เย้ๆๆๆ ฟรีด้วยสินะ

ไปรับตัวคูเปอร์ กะ มายา ที่่คลีนิคของ shelter หลังทำหมัน

อย่างที่เล่าในตอนที่แล้วว่าบ้านเราอุปการะแมวกับหมาจาก AFV shelter มาอย่างละหนึ่งตัว ทำสัญญาเสร็จอะไรเสร็จ ไม่ได้รับตัวหมาแมวกลับบ้านได้ทันที เพราะ shelter ต้องส่งไปทำหมันที่คลีนิคของ shelter ก่อน เท่าที่เราสังเกต หมาแมวใน shelter แทบไม่มีตัวไหนทำหมันแล้วเลย พอเราอุปการะทาง shelter ก็จะส่งไปทำหมันก่อนเรารับตัวกลับ โดยทำที่คลีนิคของ shelter เอง ซึ่งมีราคาถูกกว่าคลีนิคหรือ รพ สัตว์ข้างนอก โดยเราเป็นจ่ายค่าทำหมันให้กับสัตว์ที่เรารับอุปการะเอง

ขอเล่าสรุปแยกหมากะแมวละกัน จะได้เห็นภาพชัดๆ เริ่มจากแมวก่อนนะ เพราะทำอุปการะเรื่องเสร็จก่อนหมา

เราไปที่ shelter ครั้งแรกวันศุกร์ ก็ทำเรื่องอุปการะแมวเสร็จเลยในวันนั้น ได้รับปลอกคอหนึ่งอัน พร้อมกับ tag ที่แสดงเลข ID ของ Cooper ในระบบของ shelter และเบอร์โทรของ shelter  พร้อมฝังไมโครชิพใฟ้ด้วยฟรี พอทำเรื่องอุปการะเสร็จ shelter ก็นัดทำหมันในวันจันทร์ถัดไป โดยคูเปอร์จะต้องกินนอนที่ shelter ไปก่อน แล้วเราไปรับตัวได้ที่คลีนิคของ shelter หลังทำหมันเสร็จ

วันจันทร์เราสายๆ คลีนิคก็โทรเข้าเบอร์สามีเรา บอกเวลาที่จะให้เราไปรับคูเปอร์ พอถึงเวลาเราก็ไป เอากรงไปด้วย เราก็ยื่นกรงให้กับพยาบาลไปรับคูเปอร์มาให้เรา ปรากฏว่าพยาบาลถือกรงเปล่ากลับมา ส่วนอีกมือถือกล่องกระดาษที่มีคูเปอร์อยู่ เค้าบอกว่าแมวเพิ่งฟื้นจากวางยา อารมณ์จะไม่ค่อยดี (ซึ่งแตกต่างกับหมา) เลยให้เค้าอยู่ในกล่องตัวเองที่ shelter หิ้วเค้ามาส่งดีกว่า แล้วยังบอกอีกว่าให้จำกัดบริเวณเค้าในห้องปิดไปก่อน ตอนเช้าค่อยปล่อยให้เค้าสำรวจส่วนอื่นๆ ของบ้าน

กล่องที่ทาง shelter ใส่คูเปอร์ไว้ เราก็รับกลับมาพร้อมกล่อง 
แต่กล่องเปียกฉี่เหม็นหึ่ง พอถึงบ้านปุ๊บ เอาคูเปอร์ออกปั๊บ ก็ทิ้งกล่องทันที

ส่วนเรื่องกินให้รอสองทุ่มถึงกินได้ คูเปอร์ไม่มียาอะไร อาจเพราะเป็นตัวผู้ แผลเล็กๆ ตรงถุงป๋องแป๋ง เดี๋ยวก็หายมั้ง แต่ที่ตลกคือเค้าโกนขนรอบๆ ป๋องแป๋งจนโล่งโจ้งไปหมด

โล่งโจ้งๆ เคยเอาแมวตัวผู้ที่ไทยไปทำหมันนะ ไม่เห็นหมอโกนแบบนี้เลย


พอรับกล่องคูเปอร์มาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นฉุนๆ ในรถอบอวลไปด้วยกลิ่นฉุนๆ พอถึงบ้านก็เอาเข้าห้องแมว ปิดประตู เปิดกล่อง คูเปอร์เอ๋ย ก้น ขา พุง เปียกฉี่ไปหมด สรุปว่าเราจ่ายค่าทำหมันไปทั้งหมด $31 ส่วนค่าธรรมเนียมอุปการะแมวจ่ายที่ shelter ไปแล้วเมื่อวันศุกร์ $5

เปียกฉี่ไปหมดเลยคูเปอร์เอ๊ย อาบน้ำก็ไม่ได้ ต้องรอแผลทำหมันหายก่อน
แต่ผ่านไป 3-4 วัน กลิ่นก็หายเกือบหมด พอครบกำหนด 7 วัน จะจับอาบน้ำซะหน่อย 
ฮีก็ดันซึมกระทือซะงั้น เห็นจามมา 2-3 วันแล้วด้วย เลยไม่อาบ พอเช้ารุ่งขึ้นก็คึกเหมือนเดิม


ต่อไปเรื่องของหมามั่ง วันศุกร์ที่เราไป shelter วันแรก ทำเรื่องรับอุปการะแมวได้อย่างเดียว ส่วนหมาต้องรอ yard check คือ shelter จะส่ง จนท มาเช็คสนามหญ้าบ้านเรา พร้อมกับรั้วบ้าน ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็รับอุปการะได้ วันรุ่งขึ้นพอรู้ผล yard check ก็ไปที่ shelter อีกครั้งเพื่อทำเรื่องอุปการะหมา ไหนๆ ก็อยู่ที่ shelter แล้ว เราเลยแวะหาคูเปอร์ และขอ จนท เอามายาออกมาเล่นด้วยอีกครั้ง มายาท่าทางจะจำเราได้ พอเห็นเราเดินไปใกล้กรงก็ร้องเรียกใหญ่เลย

เรื่องอุปการะ เนื่องจากมายาเป็นหมาและ city ที่เราอยู่มีกฎหมายเรื่อง dog license คือหมาต้องมีใบอนุญาต โดย shelter บอกว่าเมื่อทำหมันกับฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าแล้ว ให้เอาใบรับรองจากคลีนิคมาทำ license ได้ที่ shelter นอกนั้นก็เป็นเรื่องยา โดยเค้าจะให้เราเลือกว่าจะรับยาอะไรกลับบ้านในวันที่มารับตัวมายาหลังทำหมันบ้าง ก็จะมีพวกยาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อ โคนใส้คอกันเลียแผล เป็นต้น โดยที่ shelter นัดทำหมันได้วันอังคาร เพราะคิววันจันทร์เต็มแล้ว

พอถึงวันจันทร์ ตอนเช้าเราไปส่งสามีที่สนามบิน เพราะเค้าต้องเดินทางไปทำงานต่างรัฐ ตอนเย็นเราก็ไปรับมายาที่คลีนิคเองคนเดียว ฝนก็ตกทั้งวัน ไม่ชอบขับรถตอนฝนตกเลย จริงๆ นี่เป็นครั้งแรกด้วยที่ขับรถตอนฝนตก แถมตกหนักอีก

พอไปถึงก็รอคิว เราเอาเชือกจูงกับปลอกคอไปเอง พอถึงคิวเค้าก็ถามว่าเอาเชือกจูงมามั้ย เราก็ยื่นให้ไป สักพักเค้าก็จูงออกมาให้ มายาออกท่าทางดีใจ แต่ยังเมายานิดๆ เลยไม่ร่าเริงมากเท่าไหร่ พยาบาลก็อธิบายคล้ายๆ ตอนไปรับคูเปอร์ แต่เนื่องจากมายามียาด้วย 2 ตัว ก็ต้องกินยาตามเวลา โดยเริ่มได้หลังกินข้าวตอนสองทุ่มคืนนั้นเลย เราให้พยาบาลเพิ่มโคนให้ด้วย เผื่อมายากัดแผล สรุปจ่ายไปทั้งหมด $80 ส่วนค่าอุปการะที่ต้องจ่ายที่ shelter ณ ตอนทำเรื่องเมื่อวันเสาร์ ก็ไม่ต้องจ่าย เพราะได้ลด Black Friday $50 แล้วค่าอุปการะมายา $50 เลยฟรีไป ของมายาแค่ $50 เค้าบอกว่าเพราะกรณีมายาเป็นเพราะ owner turmed in คือ เจ้าของเดิมมายาเอามายามาทิ้งที่ shelter เลยคิดค่าอุปการะแค่ $50 ปกติจะอยู่ที่ตัวละ $80-$100

มายานั่งเรียบร้อยมาก เงียบตลอดทาง

เสร็จเรียบร้อยเราก็จูงมายาขึ้นรถ ตอนแรกสามีจะเอากรงใส่ท้ายรถให้ แต่เราคงจะอุ้มหมาขึ้นท้ายรถเองไม่ไหว จะให้มันโดดเองก็มีแผลผ่าตัดที่ท้องแถมเพิ่งฟื้นยาสลบ เราเลยบอกว่าจะให้หมานั่งในรถ หมาคงไม่กวนเราหรอก พอออกจากคลีนิคเราก็จูงหมาขึ้นรถ ปรากฏมายาไม่ยอมขึ้นรถเองทั้งที่มันเตี้ยๆ เอาขาหน้าขึ้นไปข้างนึงแล้วก็เอาลง เราเลยต้องอุ้มชีขึ้นรถ ขากลับฝนก็ตกหนักอีกตามเคย มายาก็นั่งนิ่งเงียบตลอดทาง พอถึงบ้านถึงได้รู้ว่ามายาเมารถ น้ำลายยืดเลย 555

โถ นึกว่าเป็นหมาเรียบร้อย นั่งรถเงียบมาก ที่แท้เมารถนี่เอง น้ำลายยืดเลย 555

Thursday, December 11, 2014

มายา กะ คูเปอร์ น้องใหม่ในครอบครัวจาก AFV shelter

ขอพักเรื่องถ่ายรูปขายไว้ก่อนนะคะ แต่สัญญาว่าจะมาเขียนต่อแน่นอน ช่วงนี้ยุ่งๆ มากค่ะ เพราะรับอุปการะหมาแมวมาใหม่อย่างละตัว แล้วดันเกิดต้องอยู่บ้านคนเดียวนับแต่วันรับหมาแมวพอดีมาจนถึง ณ วันที่เขียนเอนทรีนี้ ทำให้เราต้องรับภาระดูแลแมวเก่า และหมากับแมวใหม่ทั้งหมดไปเต็มๆ หมาแมวใหม่นี่แหละที่ต้องดูแลเยอะหน่อย ตามนี้
- ดูแลไม่ให้แมวเก่าทะเลาะกับแมวใหม่
- ดูแลไม่ให้หมาทะเลาะกับแมว
- ดูแลหมาไม่ให้อึที่ในบ้าน
- ฝึกหมาให้เข้าส้วมตามเวลา
- ฝึกหมาให้รู้จักการนอนในกรง
- ป้อนยาหมาหลังทำหมัน
แมวใหม่ไม่ค่อยดูแลมากเท่าไหร่ แค่ระวังไม่ให้ทะเลาะกับแมวเก่าก็พอ ส่วนเรื่องกินเรื่องส้วม ไม่มีปัญหาอยู่ละ แต่หมานี่ไม่ไหว ต้องฝึก ไม่งั้นอึฉี่ในบ้านเรี่ยราดแน่

แรกเริ่มเดิมทีนี่เราเข้าไปดูเว็บ shelter ใกล้บ้านเพื่อดูเรื่อง volunteer เพราะเราอยากไปเป็นอาสาสมัครที่ shelter เล่าให้สามีฟังเรื่อง shelter เค้าก็ไปเล่าให้ลูกชายฟัง ลูกชายเลยอยากไปดูหมาแมวมาก สุดท้ายก็ไปกันเมื่อวันศุกร์ที่ 28 พย. เพราะเราเพิ่งกลับจากเที่ยว Grand Canyon พอดี เช้าวันศุกร์เปิดเว็บ shelter เช็คเวลาเปิดกับเส้นทาง ปรากฏว่าเจอประกาศ Black Friday ซึ่งลดค่าอุปการะลงซะถูกมาก

ก่อนออกจากบ้าน สามีเรียกเรากะลูกชายมาตกลงกันก่อนว่า ที่จะไปเนี่ย ไม่ได้จะไปเอาตัวอะไรกับมาเลี้ยง ไปดูเฉยๆ แต่หากบังเอิญเจอตัวที่อยากรับเลี้ยงจริงๆ ก็โชคดีไป แต่ถ้าไม่ได้ตัวอะไรกลับมาแล้วห้ามงอแง พวกเราก็ตกลง แต่เอากรงแมวติดไปด้วย เผื่อได้กลับมาสักตัว อิอิ ที่เอากรงแมวไปด้วยเพราะแฟนบอกว่า ถ้าเจอแมวถูกใจจะเอามาเลี้ยงก็ได้ แต่หมานี่พูดแล้วพูดอีกว่ายังไม่เอาแน่ๆ เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะรับผิดชอบได้ เพราะต้องดูแลมากกว่าแมวเยอะ อย่างเวลาไม่อยู่บ้านหลายวัน จะปล่อยให้อยู่บ้านเองแบบแมวไม่ได้ เป็นต้น

ทางเข้า shelter

ไปถึงด้านหน้าดูไม่ใหญ่นัก ที่จอดรถไม่กว้างขวาง ทางเข้าก็เล็กๆ แอบคิดในใจว่าเล็กจัง พอเปิดประตูเข้าไปก็ยังรู้สึกว่ามันเล็กจัง ตรงกลางทางเดินหลังเข้าประตูมาจะมีสแตนด์เล็กๆ ตั้ง ให้เราลงชื่อเข้าเยี่ยม shelter ข้างๆ กันมีกระดานเขียน Black Friday อยู่ ลดค่าอุปการะหมาตัวละ $50 ลดค่าทำหมัน $50 ส่วนแมวค่าอุปการะตัวละ $5 ลดค่าทำหมันครึ่งนึงเหมือนกัน ขวามือเป็นทางไปห้องน้ำ ซ้ายมือเป็นห้องกระจกสามห้องที่เชื่อมต่อกัน ข้างในมีแมวให้เราเข้าไปเล่น ทักทายทำความรู้จักได้ บนผนังด้านนอกห้องกระจกจะมีโพรไฟล์แมวแต่ละตัวให้ห้องแปะอยู่ ถัดจากห้อง

black Friday special ที่ shelter ลดค่าธรรมเนียมต่างๆ เหลือตามป้าย

ถัดจากห้องแมวสามห้องที่ว่าก็เป็นเคาน์เตอร์รับอุปการะ ใครสนใจตัวไหนก็กรอกใบรับอุปการะแล้วรอคิวที่นี่ นอกจากนี้ก็สามารถซื้อ dog license ที่นี่ได้ด้วย ไว้จะเขียนเรื่อง dog license ในตอนต่อไปละกัน

จากนั้นเราก็เดินเลยเคาน์เตอร์รับอุปการะไป ก็เจอห้องกระจกสำหรับเข้าไปเล่นกับแมวอีก 2 ห้อง ห้องนึงเป็นแมวโต เราเข้าไปได้เลย อีกห้องเป็นแมวเล็ก ดูแล้วไม่เกิน 6 เดือน ห้องนี้ล๊อก จนท จะเปิดให้กรณีสนใจจะรับอุปการะจริงๆ เท่านั้น เราคิดว่าแมวคงเล็กไปเลยไม่อยากให้ใคร โดยเฉพาะเด็กๆ เข้าไปเล่นมากเกิน อีกฝั่งของทางเดินตรงกันข้ามกับห้องกระจก ก็เป็นห้องกระจกเหมือนกัน แต่เป็นกรงข้างใน เราดูแมวได้จากข้างนอกเท่านั้น ตรงนี้ล่ะที่เราเจอคูเปอร์ เราเจอกับ จนท ในห้องกระจกแมวโต เค้าเข้ามาถาม เราเลยบอกว่าอยากได้แมวที่ชอบคน เข้ากับแมวด้วยกันได้ง่าย และไม่ชอบแอบตามมุมมืด จนท เลยบอกว่าเค้ามีแมวส้มตัวนึง คุณสมบัติตามนี้เลย แล้วพาเราไปห้องกระจกที่มีกรงอยู่ ซึ่งต้องให้ จนท เปิดให้เท่านั้น พอเข้าไป เค้าก็เอาแมวส้มที่ว่าออกมาจากกรง เราตัดสินใจทันทีว่าจะเอาตัวนี้แหละ ส่วนลูกชายดันไปชอบอีกตัวกรงข้างๆ เพราะขี้เล่น แต่เราดูแล้วน่าจะเข้ากับเอ็นเดอร์ยาก เจ้าส้มนี่ดู calm กว่า เราเลยบอกสามีว่าเราจะเลือกเจ้าส้ม ซึ่งก็คือคูเปอร์นี่เอง

ห้องกระจกที่เป็นกรงแมว

คูเปอร์ของเรา อุปการะมาด้วยค่าธรรมเนียมเพียง $5 และค่าทำหมันลดครึ่งราคา

เสร็จแล้วเราบอกสามีว่า เราขอไปเดินดูหมาหน่อยนะ แล้วก็ย้อนกลับไปทางเคาน์เตอร์รับอุปการะอีกครั้ง ฝั่งตรงข้ามเคาน์เตอร์มีทางเดินลึกเข้าไป ระหว่างทางเดินเป็นห้องกระจกที่มีน้องหมาอยู่ หน้าห้องมีโพรไฟล์น้องหมาแปะอยู่ ใครสนใจอยากเข้าไปทำความรู้จักกับน้องหมาข้างในห้อง ก็บอก จนท ให้เขาเปิดล๊อกประตูให้

ห้องกระจกสำหรับเยี่ยมน้องหมาด้านใน shelter

ห้องกระจกด้านใน shelter สำหรับเยี่ยมน้องหมา

เราก็เดินเล่นดูน้องหมาจนครบทุกห้อง ก็เดินกลับไปที่ห้องของแมวส้มที่เราจะรับอุปการะ ตรงนั้นมีประตูเดินออกไปด้านนอก ซึ่งข้างนอกนั้น ตรงกลางจะเป็นสถานที่กลางแจ้ง มีกรงใหญ่มากอยู่ 4 กรง และรอบๆ บริเวณนั้นจะเป็นห้องเล็กๆ เรียงกันหลายห้อง แต่ละห้องจะมีกรงหมาอยู่ เราก็เดินเข้าทุกห้อง เพื่อดูหมา ลูกชายก็อยากเล่นกะหมา ซึ่งถ้าเราสนใจหมาตัวไหน เราบอก จนท เพื่อให้เค้าเอามาออกมาให้เราในกรงใหญ่ตรงลานตรงกลางได้ แล้วเราก็จะเข้าไปอยู่ในกรงกับหมาเพื่อทำความรู้จักกัน

กรงในลานกลางแจ้ง เราสามารถเลือกน้องหมาในกรงออกมาทำความรู้จักกันตรงนี้ได้

สามีเราเลือกเยอรมันเชพเพิร์ดตัวนึง อายุ 5 ขวบแล้ว เห็นว่าน่าสงสารที่ต้องมาอยู่ shelter ทั้งที่อายุ 5 ขวบแล้ว ปรากฏว่าบน profile ของหมาตัวนั้นหมายเหตุว่า มีปัญหากับหมาตัวอื่น เพราะงั้นควรเลี้ยงเป็นหมาตัวเดียวในบ้าน ส่วนกะแมว จนท บอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นไง เพราะไม่เคยลอง ปรากฏว่าพอเข้ามาในกรงใหญ่ หมาไม่สนใจพวกเราเลย เอาแต่ไล่เห่าหมาตัวอื่นนอกกรง เห่าทุกต้วที่เค้าเห็น แล้วก็ฉี่รอบกรงเต็มไปหมด สามีเราถึงกับออกปาก เพราะงี้แหงเลยเค้าถึงไม่มีใครอุปการะ

ก่อนจะกลับไปรับอุปการะแมวส้ม ลูกชายบอกเค้าอยากเอาหมาตัวนึงออกมาเล่นด้วย ก็เลยบอก จนท ปรากฏว่าหมาตัวนี้คุณสมบัติดีทุกอย่าง ลูกชายก็เอาแต่พูดว่าพ่อต้องรับเลี้ยงหมาตัวนี้นะ สามีพูดหลายครั้งหลายหนว่ายังไงๆ วันนี้ก็ไม่รับเลี้ยงหมาแน่ๆ กลับกลายเป็นว่า พอออกจากกรง เค้าขอใบรับอุปการะจาก จนท เพื่อกรอกรับหมาตัวนี้ ซึ่งหมาตัวนี้ก็คือมายานั่นเอง

ห้องหมาด้านนอก shelter ที่มีกรงอยู่ข้างใน ในรูปนั่นคือมายา

พอได้ใบรับอุปการะก็ไปนั่งรอคิวเพื่อทำเรื่องอุปการะที่เคาน์เตอร์ เราก็ถามสามีว่า ใบอุปการะแมวก็ต้องเอาต่างหากใช่มั้ย สามีก็บอก เราจะรับเลี้ยงหมาแล้ว เค้าจะไม่รับเลี้ยงแมวด้วยในวันนี้หรอก เราเหวอเลย อ้าว ตอนแรกคุยกันดิบดีว่าจะรับเลี้ยงคูเปอร์ พอลูกชายร้องจะเอาหมาดันเอาหมาซะงั้น ทั้งที่ตัวเองก็พูดแล้วพูดอีกว่าไม่พร้อมเลี้ยงหมา เราเลยนอยด์ไปเลย อยากกลับบ้านละตอนนั้น ลูกชายชวนเดินไปดูหมาก็ไม่ไป แบบว่า หมดธุระกะที่นั่นแล้วไรงี้ รอพักใหญ่มากๆ กว่าจะถึงคิว ระหว่างนั้นเราก็ไปยืนดูแฟ้้ม lost and found dogs and cats หนาเตอะมากๆ แฟ้มหมานี่หนากว่าแมวสามเท่า คือถ้าใครหมาแมวหายหรือใครเจอหมาแมวก็สามารถเอาประกาศไปใส่แฟ้มได้

สักพักนึงลูกชายเอาปลอกคอแมวมาให้เรา เราก็งงว่าเอามาทำไม สรุป คือ สามีเรารับเลี้ยงทั้งหมาและแมว แล้วแมวทำสัญญาเสร็จแล้วก็ได้ปลอกคอมา ซึ่งมี tag ซึ่งมีข้อมูล ID ของแมวตาม database ของ shelter กับเบอร์โทร shelter บน tag ด้วย ส่วนหมาต้องรอ จนท มาทำ yard check ที่บ้านก่อน แล้วถึงจะทำสัญญาได้ เลยต้องรอวันรุ่งขึ้น ส่วนของคูเปอร์นั้น ทำสัญญาเรียบร้อยแล้ว ทาง shelter ก็เลยนัดทำหมันกับ clinic ของ shelter ให้เรียบร้อยซึ่งต้องรอวันจันทร์ถัดไป เราก็เลยกลับบ้านตัวเปล่ามารอรับคูเปอร์ที่คลีนิควันจันทร์ แล้ววันรุ่งขึ้นก็มาทำสัญญารับอุปการะมายาหลัง yard check ผ่าน

วันรุ่งขึ้นเราก็กลับไปที่ shelter อีกครั้งเพื่อทำสัญญารับอุปการะหมา นัดวันทำหมันได้วันอังคาร เพราะวันจันทร์คิวเต็มแล้ว เลยกลายเป็นว่าเราต้องขับรถมารับแมวกะหมาที่คลีนิคสองรอบ ทำสัญญารับอุปการะหมาเสร็จก็กลับบ้านมารอด้วยความตื่นเต้น หลังจากนั้นก็ไปช้อปปิ้งซื้อของใช้หมา หมดไป $500 ไม่รวมอาหาร -_- ของแมวไม่ต้องซื้อเพราะมีหมดแล้ว

ตอนต่อไปมาเล่าตอนไปรับหมาแมวที่คลีนิคละกันเนาะ

Wednesday, November 26, 2014

ขายรูปถ่ายออนไลน์บนเว็บไซต์ Microstock ตอนที่ 1: ทำความเข้าใจกับ Microstock

ขอเริ่มเรื่องด้วยการเล่าความเป็นมาในการขายรูปถ่ายออนไลน์ของตัวเองนะคะ

เราชอบถ่ายรูปมานานหลายปีแล้ว นับแต่สมัยที่โทรศัพท์มือถือแบบมีกล้องยังไม่ดาษดื่นยังในปัจจุบัน ตอนนั้นเรามีแค่กล้องดิจิตอลคอมแพคท์ราคาหมื่นนิดๆ ในมืออยู่ 1 ตัว เราก็ถ่ายไปเรื่อยตั้งกะหมาที่บ้าน พื้นดิน ยอดไม้ ยันท้องฟ้า จริงๆ แล้วสมัย ม.ปลายเราก็อยู่ชมรมถ่ายภาพนะ แต่ไม่ค่อยได้จับกล้อง เพราะไม่มีกล้องเป็นของตัวเอง คุณครูให้ลองถ่ายกล้องของชมรมแค่บางที

จนกระทั่งเราได้มาจับกล้อง DSLR ครั้งแรกก็ตอนคบกับแฟนคนนี้ ซึ่งปัจจุบันเป็นสามี เค้าชอบถ่ายรูปมานานมากแล้วเหมือนกัน เค้าเองที่เป็นคนทำให้เรารู้จักกับเว็บไซต์ขายรูปถ่ายออนไลน์ Microstock ตอนนั้นเค้าลองสมัครขายเว็บไซต์พวกนี้ดู เว็บที่ต้องสอบก็สอบไม่ผ่าน เว็บที่ไม่ต้องสอบก็ขายไม่ได้ ไม่ใช้เพราะแฟนเราฝีมือไม่ดี เค้าฝีมือถ่ายภาพดีมาก ดีกว่าเราเยอะ แต่ภาพถ่ายของเค้าไม่ใช่แนว microstock มันเลยขายไม่ได้ และสอบไม่ผ่าน เพราะไม่เข้าคุณสมบัติที่เว็บไซต์ต้องการ ทุกวันนี้สามีเราเลยเลิกถ่ายภาพสต๊อกและไปถ่ายภาพนายแบบนางแบบแนว fashion กับ headshot เท่านั้นแทน

หลังจากเราย้ายมาอยู่อเมริกา ไม่มีงานทำ เราเลยนึกถึงเรื่องเว็บไซต์ขายภาพถ่ายออนไลน์หรือ microstock ขึ้นมา แล้วซื้อหนังสือมาจากไทยสองเล่มช่วงที่เรากลับไปเยี่ยมบ้านครั้งแรกนับจากย้ายมาอเมริกา แล้วก็หอบกลับมาอเมริกาด้วย (หนังสือหาได้ในเว็บไซต์ที่ลิงค์ด้านล่างนี้) กลับมาถึงอเมริกา เราก็อ่านแบบผ่านๆ ด้วยความใจร้อนและคิดว่าฝีมือถ่ายภาพชั้นดีอยู่แล้วย่ะ เลยเปิดเว็บไซต์สมัครในทันใด ส่งภาพสอบตามที่เว็บไซต์ต้องการ ปรากฏว่าตกไม่เป็นท่า พอจะสอบรอบสองเราเลยหันมาศึกษาอย่างหนักก่อนส่งสอบอีกครั้ง เพราะกฎของเว็บไซต์คือ ถ้าไม่ผ่านต้องรอเวลาสอบครั้งต่อไป บางเว็บสอบได้เดือนละครั้ง บางเว็บถ้าครั้งแรกไม่ผ่าน ต้องรอ 2 อาทิตย์จะสอบได้อีกที ถ้าครั้งที่สองไม่ผ่านอีก ต้องรอ 1 เดือน ครั้งที่สามไม่ผ่านอีก ต้องรออีก 3 เดือนไรงี้ ถ้าเราส่งภาพสอบแบบไม่มีจุดหมาย กลัวว่าเป็นปีก็คงไม่ผ่าน สุดท้ายเลยหันมาศึกษาอย่างจริงๆ ในหนังสือสองเล่มนั้น กับใน forum ที่ http://www.stockphotothailand.com/forums/index.php?sid=a0300880ecbc0e5183514ab33c91a6a2 ครั้งที่สองเลยสอบผ่านฉลุย เว็บแรกที่กำหนดว่าต้องส่ง 10 ภาพและผ่าน 7 ภาพขึ้นไปถึงจะผ่าน เราผ่าน 9 ภาพเลย และเว็บที่ 2 กำหนดว่าต้องส่ง 3 ภาพและต้องผ่านทั้ง 3 ภาพ เราก็ผ่านฉลุยด้วยดี


Microstock คืออะไร
Microstock คือเว็บไซต์ที่ทำการ stock ภาพถ่ายไว้เยอะๆ เพื่อให้ลูกค้ามาคลิกเลือกซื้อภาพด้วยการดาวน์โหลด แล้วภาพที่เว็บไซต์เอามาขายมาจากไหน ก็มาจากคนถ่ายภาพอย่างเราๆ นี่แหละ ที่ไปสมัครขายภาพถ่ายกับทางเว็บไซต์ บางเว็บไซต์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเว็บไซต์ระดับท๊อป จะให้ผู้ที่ต้องการขายภาพสอบก่อน เพื่อให้คุณภาพของภาพที่ขายในเว็บไซต์ได้มาตรฐาน และเมื่อเราสอบผ่านแล้วการตรวจสอบภาพที่อัพโหลดขึ้นไปขายก็ยังเข้มงวด ถ้าคุณภาพไม่เป็นไปตามที่กำหนดก็จะถูกคัดภาพทิ้ง อย่างที่บอกว่าเว็บ microstock เป็นเว็บที่ stock ภาพไว้เยอะๆ เพราะงั้นสิ่งที่จะช่วยให้เรามีรายได้จากการขายภาพกับเว็บไซต์มากๆ ก็คือ จำนวนภาพที่มีอยู่ใน portfolio ของเรา รวมถึง keyword ที่เราใส่ให้ภาพ เนื่องจากเมื่อเวลาลูกค้ามาซื้อภาพ เค้าจะทำการค้นหาภาพที่ต้องการด้วย keyword ถ้าเราตั้ง keyword ให้ภาพของเราตรงกับ keyword ที่ลูกค้าใช้ค้น และเรามีภาพอยู่ใน portfolio เยอะๆ โอกาสที่ลูกค้าจะเข้ามาเจอภาพถ่ายของเราและทำการดาวน์โหลดเพื่อซื้อภาพก็มีสูงขึ้น

การเตรียมตัวขายภาพ microstock
1. เปิดใจให้กว้างและศึกษาแนวภาพ stock อย่างจริงจัง ทั้งนี้เพราะ ภาพถ่ายแนว stock นั้น ต่างจากภาพถ่ายปกติพอสมควร ซึ่งมีคนพูดว่า ถ้าเห็นช่างภาพถ่ายถาพอะไรที่คนอื่นเค้าไม่ถ่ายกันน่ะ ให้เดาได้เลยว่าคนๆ นั้นประกอบอาชีพถ่ายภาพ stock เดี๋ยวนี้เราติดนิสัยที่เวลาจะถ่ายภาพอะไรสักภาพ ถ้าคิดว่าภาพนั้นเอาไปอัพโหลดขายไม่ได้เราก็จะไม่ถ่าย แต่ถ้าเห็นอะไรที่คิดว่าขายได้ก็ถึงจะกดชัตเตอร์ถ่าย จนเด็กที่บ้านชอบทักว่า ถ่ายรูปอะไรอะ แล้วทำหน้าว่าเรานี่พิลึกจัง -_-
2. ศึกษาว่าภาพแบบไหนที่จะส่งสอบแล้วผ่าน อย่างที่บอกว่า เว็บไซต์ระดับท๊อปจะมีสอบวัดคุณภาพของภาพก่อน จึงต้องเตรียมตัวเตรียมภาพไว้สำหรับส่งสอบ และเนื่องจากมีกำหนดเวลาที่จะต้องรอเพื่อสอบรอบต่อไปกรณีไม่ผ่าน เพราะงั้นจึงควรจะศึกษาให้เข้าใจก่อนที่จะทำการส่งภาพไปสอบ ถ้าคิดว่างั้นก็ไม่ขายบนเว็บที่ต้องสอบก็ได้ เราก็จะบอกว่าจากประสบการณ์ตรงของเรา เว็บที่ต้องสอบนี่แหละที่จะขายดี มีคนเข้ามาซื้อตลอด แม้รูปใน portfolio เราจะน้อย แต่ก็ได้ตังค์ตลอด เทียบกับเว็บที่ไม่สอบ ชาติหน้าจะได้ตังค์มาใช้กะเค้าบ้างมั้ย ยังไม่รู้เลย
3. ปรับมุมมองการถ่ายภาพของตัวเอง แล้วนำไปใช้ในการถ่ายภาพ ให้ได้ภาพออกมาตรงตามความต้องการของตลาด

ในส่วนของการเตรียมตัวนี้สำคัญมาก เราเจอหลายๆ คน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เพื่อนจากสมัยเรียน เห็นเราโพสต์รูปที่ขายได้บน facebook ก็มาถามเราว่าขายที่ไหน ยังไง อยากขายมั่ง เพราะชอบถ่ายรูปเหมือนกัน เราอธิบายละเอียดเท่าที่จะทำได้แล้วนะว่าต้องเป็นรูปแบบไหน ยังไง แล้วให้ไปศึกษาเพิ่มด้วยตัวเองด้วย เพราะมันต้องดูรูปแนวนี้เนอะๆ ถึงจะได้ไอเดียว่าเป็นภาพแบบไหนที่เว็บไซต์ต้องการ ปรากฏว่าหลังจากนั้นมาบ่นว่า รูปชั้นสอบไม่ผ่านว่ะ เราก็อยากจะบอกว่า เฮ้ย ไปศึกษาให้มันจริงจังก่อนดิ ไม่ใช่เห็นว่ารูปชั้นสวยแล้วมันจะผ่าน สวยน่ะะอาจสวยจริง แต่มันไม่ตรงกับความต้องการของรูป stock มันก็ตกได้เป็นธรรมดา

วันนี้ขอจบแค่นี้ก่อนนะคะ แล้วมาต่อตอน 2 กันอีกที

All contents and pictures in this blog is copyrighted@2009 by monkey-girl. All right reserved.

Back to TOP