Wednesday, February 13, 2013

เดินทางไปเมกาด้วยวีซ่าท่องเที่ยวระหว่างการยื่นขอ CR-1


นึกขึ้นได้ค่ะว่าอยากเขียนเรื่องนี้มานานหลายเดือนแล้ว สำหรับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่มีวีซ่าท่องเที่ยวอยู่แล้วและอยากมาเยี่ยมแฟนระหว่างรอวีซ่าแต่งงานหรือวีซ่าถาวรเสร็จ (K1, CR-1, IR-1) ตั้งกะเดินทางมาหาแฟนที่เมกาครั้งสุดท้ายด้วยวีซ่าท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการเดินทางมาเมกาเป็นครั้งที่ 4 และเป็นครั้งแรกที่เดินทางด้วยพาสปอร์ต 2 เล่ม โดยวีซ่าท่องเที่ยวอยู่ในพาสปอร์ตเล่มเก่า (เป็นนามสกุลก่อนแต่งงาน) ถือคู่กับพาสปอร์ตเล่มใหม่ซึ่งเปลี่ยนนามสกุลเป็นนามสกุลสามีชาวเมกัน

ทุกครั้งเป็นการเดินทางคนเดียวนะคะ ปกติเราจะตื่นเต้นและกลัวหลงกลัวป้ำเป๋อตลอด เลยมักจะเช็คข้อมูลทุกอย่างก่อนเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นแผนที่ terminal ของสนามบินที่เราจะต้องไปต่อเครื่อง หรือถามแฟนให้ชัวร์ว่าไปถึงแล้วต้องเดินไปทางไหนยังไง แต่คราวนี้เราเฉยๆ มาก เนื่องจากว่าเรากำลังอยู่ระหว่างยื่นขอ CR-1 ค่ะ และตอนนั้นกะลังจะถึงขั้นที่ได้วันสัมภาษณ์แล้ว เราเลยเฉยๆ ไม่ค่อยได้อยากไปเท่าไหร่ แต่เราเคยบอกแฟนไว้ตอนที่เค้ามาหาเราที่ไทยเมื่อ 2-3 เดือนก่อนว่าเราจะไปหาเค้าช่วงนี้ เค้าเลยเซ้าซี้ถามมากว่าจะมาวันไหน เราก็เลยโอเค ไปก็ไปวะ แต่แบบซังกะตายมาก ไม่ได้เช็คข้อมูลอะไรเลย ทั้งที่ควรจะเตรียมพร้อมเพราะเป็นครั้งแรกที่จะเข้าเมกาด้วยนามสกุลสามีเมกัน (ตม. เค้าจะรู้แล้วครั้งนี้ว่าเราแต่งงานกะชาวเมกัน)

ท้าวความนิดนึงถึงการเดินทางเข้าเมกาด้วยวีซ่าท่องเที่ยวแต่ละครั้งด้วยสถานะที่แตกต่างกัน
ครั้งแรก ยังไม่ได้แต่งงานแต่คบกะแฟนอยู่ พาสปอร์ตและวีซ่าเป็นนามสกุลก่อนแต่งงาน เดินทางเข้าเมกาโดยไม่ได้แสดงตัวต่อสถานทูต (ตอนขอวีซ่า) และ ตม. (ตอนเข้าเมกา) ว่ามีแฟนเป็นเมกัน
ครั้งที่ 2 และ 3 แต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้ว แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนพาสปอร์ตเป็นนามสกุลสามี เนื่องจากพยายามหลีกเลี่ยงการเข้าเมกาด้วยนามสกุลสามี ไม่อยากเปิดเผยตัวว่าเรามีอะไรที่เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกะเมกา (ไม่อยากให้ ตม. ถามเยอะ และตั้งข้อสงสัยเยอะ ทั้งที่เราเข้าเมกาด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้คิดจะหนีวีซ่าแต่อย่างใด)
หมายเหตุ ครั้งที่ 2 เรากลับไทยไปแค่เดือนเดียวก็กลับเข้ามาเมกาอีกเป็นครั้งที่ 3 ตม. ก็ไม่ได้ถามอะไรมากมายเลย กระเป๋าก็ไม่โดนตรวจ
ครั้งที่ 4 (ครั้งที่จะเอามาเล่าในเอนทรีนี้) เดินทางด้วยพาสปอร์ต 2 เล่มซึ่งนามสกุลไม่ตรงกัน คือ พาสปอร์ตเดิมที่มีวีซ่าท่องเที่ยว B1/B2 สิบปีอยู่  (นามสกุลก่อนแต่งงาน) กับพาสปอร์ตใหม่นามสกุลสามี
เหตุที่ต้องทำพาสปอร์ตใหม่เพราะ พาสปอร์ตเก่าเราใกล้หมดอายุและต้องการใช้พาสปอร์ตนามสกุลสามีสำหรับวีซ่า CR-1 โดยในวันเดินทางครั้งที่ 4 นี้ เราได้รับแจ้งวันสัมภาษณ์ CR-1 แล้ว และเราจะเดินทางกลับไทยมาก่อนวันสัมภาษณ์ 2 วัน ซึ่งเรา print ใบแจ้งวันสัมภาษณ์พกติดตัวไปด้วย**

อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าครั้งนี้ผิดจากครั้งก่อน ซึ่งเราควรจะหาข้อมูลว่า การเดินทางด้วยพาสปอร์ต 2 เล่มและวีซ่านามสกุลไม่ตรงกับพาสปอร์ตใหม่แบบนี้จะมีปัญหาอะไรหรือไม่ (ตอนไปทำ endorsement passport เค้าก็มีประกาศเตือนเรื่องนี้ว่าควรต้องเตรียมเอกสารอะไรติดไปด้วย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ) จนกระทั่ง...

- วันเดินทาง ขณะกะลังจะเข้าคอกเพื่อต่อแถวไปเคาน์เตอร์เช็คอิน (คงนึกออกกันนะคะ ที่เค้าจะใช้เชือกกะเสามากั้นๆ เป็นทางให้เราเดินเข้าไปที่เคาน์เตอร์อะค่ะ) จนท. ก็ขอดูเอกสารเรา เราก็ยื่นพาสปอร์ตกะ e-ticket ที่ print มาด้วยให้ดู จนท. ผู้ชาย (ไม่แก่ไม่เด็ก ไม่น่าจะใช่เด็กใหม่) ก็ดูพาสปอร์ตทั้งสองเล่มของเรา และหันไปคุยกับ จนท. อีกคนที่เป็นผู้หญิงและดูอาวุโส ว่าเราถือ 2 พาสปอร์ตแบบนี้แล้วนามสกุลไม่ตรงกัน จนท. ผู้หญิงเอาไปพลิกดูก็พูดว่า มี endorsement มาก็โอเคแล้ว ถ้าไม่มีก็ต้องมีเอกสารเปลี่ยนชื่อ/สกุลมา

- ตอนเช็คอินที่เคาน์เตอร์ (United Airlines) เรายื่นพาสปอร์ตให้ เค้าถามหาวีซ่าเราก็เลยเอาในเล่มเก่าให้ดู แล้วเค้าก็ไม่สนใจใยดีพาสปอร์ตใหม่เราเลย (คิดในใจ อ้าว แต่เราเดินทางและซื้อตั๋วด้วยนามสกุลใหม่นะ เริ่มวิตกเล็กๆ) แล้วก็ออก boarding pass ให้เราด้วยชื่อในพาสปอร์ตใหม่

- ระหว่างกะลังรอขึ้นเครื่องเราก็ลนนิดๆ พยายามหาข้อมูลบนมือถือว่ากรณีแบบเราเนี่ยมันโอเคเปล่า ก็ไปเจอข่าวหรือบทความอะไรสักอย่างโดยกระทรวง ตปท. ว่ากรณีแบบเรา (วีซ่ากะพาสปอร์ตใหม่ที่ชื่อไม่ตรงกัน) ควรพกเอกสารที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อ/สกุลพร้อมใบแปลที่รับรองโดยกงสุลไทยไปด้วยแม้จะมี endorsement แล้วก็ตาม! และยกตัวอย่างคนไทยไปต่อเครื่องที่เกาหลี ถูก ตม. เมกันส่งตัวกลับเพราะเหตุนี้และไม่มีเอกสารอะไรแสดง!! เอาละกรู ถูก ตม. ส่งตัวกลับที่ญี่ปุ่นแหง (ต่อเครื่องที่โตเกียว) เพราะตอนนั้นมีแค่สำเนาใบเปลี่ยนนามสกุลภาษาไทยเยินๆ ที่พกติดเป๋าตังค์ไว้แค่นั้นเองค่ะ

เอาล่ะ และแล้วการเดินทางที่น่าตื่นเต้นว่าจะถูกสกัดดาวรุ่งกลางทางหรือไม่ก็เริ่มขึ้น!

6 ชม. บนเครื่องผ่านไป ถึงเวลาระทึกใจที่ญี่ปุ่น เราก็แบบชิลล์ เตรียมใจไว้แล้วว่าอะไรจะเกิดก็เกิด ถ้าถูกส่งกลับก็เดือนหน้าก็ได้ CR-1 แล้ว พลาดคราวนี้ก็รอไปเมกาอีกทีด้วย CR-1 เลยละกัน

ลงเครื่องมาก็เดินมุ่งหน้าตามป้าย connecting flight ไป เจอ security checkpoint ตรวจสัมภาระติดตัวเผื่อเข้าไปรอต่อเครื่องในอาคารก็เดินต่อแถวไป ผ่าน security checkpoint เสร็จก็ใส่รองเท้า หิ้วกระเป๋า เดินออกมาปุ๊บก็จะเจอบันไดเลื่อนลงไปที่เกท เราเงยหน้าขึ้นมาก็เจอชายหนุ่ม (ฝรั่งหัวล้าน) ยืนถือกระดาษพร้อมโชว์ชื่อเราอยู่ตรงหัวบันไดเลื่อน สันนิษฐานว่าเป็น ตม. เมกัน!

เราก็เดินตรงไปหาชายหนุ่มคนนั้น 
เรา: It's me. 
ฮี:    ยูมีวีซ่าเมกันเปล่า
เรา: yes" 
ฮี:   ขอดูหน่อย
เราก็ยื่นพาสปอร์ตทั้งสองเล่มให้ไปและให้ดูวีซ่าในพาสปอร์ตเก่า 
ฮี:   อ๋อ ยูมีวีซ่าอีกชื่อนึงนี่เอง มิน่าถึงไม่เห็นว่าชื่อยูมีวีซ่าเข้าเมกาอยู่ในระบบ
แล้วฮีก็จดเลขวีซ่าเราไป 
เรา: ไอกะลังกังวลเรื่องนี้อยู่พอดีว่าจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า เพราะชื่อในวีซ่ากะพาสปอร์ตใหม่ที่เราใช้เดินทางครั้งนี้ไม่ตรงกัน
ฮี:   ไม่มีปัญหาหรอก ถ้ายูจะไปแล้วเดินทางกลับอะ (ประมาณว่าไม่หนีวีซ่าอยู่ที่นู่นด้วยวีซ่าท่องเที่ยวเลย)
ฮี (ต่ออีก): ยูอยู่ระหว่างยื่นขอวีซ่าถาวรด้วยไม่ใช่หรอ
เรา (คิดในใจ รู้ดีจัง เห็นข้อมูลเราหมดเลยสิ): ใช่แล้ว มีสัมภาษณ์เดือนหน้านี่
จากนั้นฮีก็ถามเราว่าสามีทำงานอะไร อยู่ที่ไหน เราก็บอกไป แล้วก็เรียบร้อย ฮีแยกย้ายไปพร้อมกระดาษที่จดเลขวีซ่าเราอยู่ในมือ

เราก็ยังตื่นเต้นอยู่ เดินไปผิดเกทซะงั้น แบบสมองยังไม่สั่งการ พอได้ที่นั่งก็แชทกะแฟน บอกว่ามี ตม. เมกันมาดักรอเราด้วย เค้าก็ว่า wow ประมาณว่าขนาดนั้นเลยหรอ และถามเราว่าตกใจเปล่า เราก็บอกเราก็คิดไว้อยู่แล้วว่าจะโดนดักที่นี่ แฟนก็ว่าถ้า ตม. คนนั้นเค้าให้เราผ่านมาได้และบอกกับเราแบบที่เราเล่าไปข้างบนแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก เข้าเมกาได้สบายชัวร์อยู่แล้ว เราก็อือ หวังว่างั้น

จบจากโตเกียวก็มาลุ้นต่อที่ ตม. เมกา ณ LAX

ลงเครื่อง เดินมุ่งหน้าไปยัง ตม. เนื่องจากเรานั่ง United ซึ่งมี terminal ของตัวเอง ก็เลยไม่สับสนวุ่นวายและคนไม่เยอะ แป๊บเดียวก็ได้มายืนอยู่หน้า ตม. หน้าตาออก mexican

วางพาสปอร์ต 2 เล่มตรงหน้าฮี ฮีถามมาทำอะไร เราบอกมาเยี่ยมสามี (คราวนี้บอกแบบนี้เลยโดยไม่ปิดบังว่าคบชายหนุ่มเมกันอยู่ เพราะพาสปอร์ตนามสกุลใหม่มันฟ้องอยู่แล้ว) 

ปล. เนื่องจากผ่านมาหลายเดือน จำรายละเอียดไม่ได้ว่าฮีคุยอะไรกะเรามั่ง เลยขอเล่าคร่าวๆ ละกัน

ฮีทำหน้าตาคลางแคลงใจ พูดว่ายูอยู่ไทยแล้วสามีอยู่นี่เนี่ยนะ ไม่อยากอยู่ด้วยกันหรือไง (จะจับพิรุธว่าเราจะหนีวีซ่าเปล่าอะสิ) เราเลยรีบบอกว่าเราอยู่ระหว่างยื่นขอ CR-1 จะต้องเดินทางกลับไปสัมภาษณ์เดือนหน้านี่ (เพื่อให้ฮีสบายใจว่าเราไม่หนีวีซ่าแน่นอน คิดในใจ ในระบบก็น่าจะมีข้อมูลอยู่แล้วนี่ ตม. เมกาที่ญี่ปุ่นยังรู้เลย ไม่กดดูล่ะฟระ) กลับกลายเป็นว่า ฮีเข้าใจไปว่าเราได้ CR-1 แล้ว เลยถามหาซองน้ำตาลกะเรา เราบอกไม่มี เรายังไม่ได้ CR-1 แต่กำลังจะต้องกลับไปสัมภาษณ์เดือนหน้า แล้วเราก็ยื่นใบแจ้งวันสัมภาษณ์ที่เรา print ติดไปด้วยให้ฮีดู

ฮีเอาไปอ่าน จ้องตรงวันสัมภาษณ์และขอตั๋วขากลับจากเรา (เป็นครั้งแรกที่ถูกขอดูตั๋วขากลับ) เราก็ยื่นให้ ฮีก็ดูกลับไปกลับมาว่ากลับวันนี้ สัมภาษณ์วันนี้ (กลับถึงก่อนวันสัมภาษณ์ 2 วัน) ฮีก็ถามแต่งงานนานยัง และข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับเรากะสามีนิดหน่อย พร้อมกะบอกว่า คราวหน้าที่จะมาด้วย CR-1 จะถูกถามแบบนี้แหละ ซ้อมไว้นะ และให้ข้อมูลเราคร่าวๆ ว่าคราวหน้าจะต้องยื่นเอกสารอะไร ตรงไหน ยังไง (ครั้งที่ 5 ที่เรามาด้วย CR-1 จริงๆ กลับไม่เห็นถูก ตม. ถามอะไรเลยอะ อ่านได้ที่นี่นะคะ

ตม. ปั๊มให้เรา 6 เดือนในพาสปอร์ตเล่มใหม่โดยเขียนเลขวีซ่าจากเล่มเก่าเรากำกับไว้ด้วย พร้อมกำชับเราว่าอย่าผิดนัดสัมภาษณ์นะ สำคัญมาก และบ่นว่าไม่รู้ทำไมบางคนคิดโง่ๆ ยังไง (ประมาณว่า บางคนจะได้วีซ่าถาวรอยู่ละ แต่เข้าเมกามาแล้วดันหนีวีซ่าอยู่ยาวไม่ยอมกลับไปเดินเรื่องวีซ่าถาวรต่อซะงั้น) เราก็ว่าเราไม่โง่อย่างนั้นหรอกน่า อุตส่าห์รอมาตั้งหลายเดือนกว่าจะได้ CR-1 จะทำยังงั้นทำไม (ตม. ไม่ได้ถามหาเอกสารอะไรหรือถามอะไรที่เกี่ยวกับพาสปอร์ต 2 เล่มกะวีซ่าที่นามสกุลไม่ตรงกันเลยสักนิด วิตกไปเองนะเรา เฮ้อ)

เสร็จเรียบร้อยก็ผ่าน custom ต่อ จนท. ก็ถามแบบเดียวกับ ตม. เลยว่า ยูอยู่ไทยแล้วสามีอยู่นี่เนี่ยนะ ไม่อยากอยู่ด้วยกันหรือไง เราก็ตอบแบบเดิมเรื่อง CR-1 ฮีก็ปล่อยเราผ่านไปโดยไม่ตรวจกระเป๋าและบอกว่าขอให้มีความสุขกับครอบครัวนะพร้อมกับยิ้มให้ เราก็รีบไปต่อเครื่องมายัง San Diego และได้เจอกับสามีก็เล่าใหฮีฟังตามที่เจอมา

จบล่ะค๊าาาา หวังว่าคงเป็นประโยชน์สำหรับใครที่มีวีซ่าท่องเที่ยวอยู่แล้วและกำลังคิดอยากไปเยี่ยมสามีระหว่างรอวีซ่าถาวรนะคะ

ปิดท้าย ขอแนะนำนิดว่า ใครที่จะเดินทางมาเยี่ยมแฟนด้วยวีซ่าท่องเที่ยวและอยู่ระหว่างดำเนินการขอวีซ่าแต่งงานหรือวีซ่าถาวร เช่น K1, CR-1, IR-1 ให้พกเอกสารที่แสดงว่าเราอยู่ระหว่างขั้นตอนการขอวีซ่าพวกนี้มาด้วยนะคะ** เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าเราแค่มาเที่ยวมาเยี่ยมแฟน ไม่ได้มาอยู่ด้วยวีซ่าท่องเที่ยว

ส่วนใครที่ถือพาสปอร์ตสองเล่มและชื่อ/นามสกุลในวีซ่าไม่เหมือนในพาสปอร์ตใหม่ ก็ควรพกเอกสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อ/สกุลที่แปลเป็นภาษาอังกฤษติดตัวไปด้วยเผื่อไว้ เพราะเราอาจจะดวงซวยเจอ ตม. โหดๆ (งี่เง่า) ก็ได้ค่ะ

1 comment:

All contents and pictures in this blog is copyrighted@2009 by monkey-girl. All right reserved.

Back to TOP