Wednesday, May 29, 2013

วีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา

เอนทรีนี้ขอเล่าเรื่องการทำวีซ่าท่องเที่ยวนะคะ ที่จริงเป็นเรื่องเก่าที่เราเคยเขียนแชร์ประสบการณ์ไว้เมื่อตอนทำวีซ่าท่องเที่ยวต้นปี 2011 เราเขียนไว้ที่บล็อกเก่า ขออนุญาตก๊อปปี้มาแปะนะคะ

จริงๆ แล้วข้อมูลขั้นตอนการสมัครวีซ่าท่องเที่ยวสามารถอ่านแบบอัพเดทที่เว็บสถานทูตได้นะคะ ลิงค์นี้ค่ะ http://thai.bangkok.usembassy.gov/non-immigrant_visas.html

ส่วนขั้นตอนและคำอธิบายโดยย่อจากประสบการณ์ตรงของเราก็ตามนี้ค่ะ เรา rewrite เพื่ออัพเดทข้อมูลให้ด้วยแล้วบางส่วนนะคะ เช่น ลิงค์ต่างๆ และค่าธรรมเนียมค่ะ

เป็นการเดินทางมาอเมริกาครั้งแรก และคนเดียวค่ะ เลยอยากเอามาเขียนเล่าประสบการณ์ เริ่มแรกเลยก็เริ่มจากตั้งแต่ตอนไปขอวีซ่านะคะ ก็คือช่วงต้นเดือนธันวา 2553 คือ เรามีความคิดจะขอมา 2 ปีแล้ว แต่ก็กล้าๆ กลัวๆ อยู่ แฟนก็บอกให้ไปขอไว้เผื่อจะได้เดินทางไปด้วยกัน แต่เราก็ไม่มีแพลนที่แน่นอน ก็เลยไม่กล้าขอ เพราะต้องกรอกลงไปในใบขอวีซ่าด้วย บางคนก็บอกต้องแนบในจองโรงแรม ใบจองตั๋วเครื่องบิน บลา บลา บลา เราก็เลยไม่กล้าสักที

ทีนี้ ช่วงเดือน ธ.ค. ตามที่บอก อยู่ๆ เราก็นึกอยากขอขึ้นมาอีก และไปอ่านบอร์ดพันทิป ปรากฏว่ามีหลายคนมาโพสต์ว่า ขอแล้วได้มาสิบปี เราก็เลย เอ๊ะ ช่วงนี้เค้าให้ง่ายหรือเปล่า เราก็เลยตัดสินใจวันนั้นว่า เอาล่ะ จะเอาจริงแล้วนะ เราก็เลยศึกษาขั้นตอนเพิ่ม จากนั้นก็เริ่มลงมือเลย ตามนี้

1. กรอกใบ ds-160 บนเว็บไซต์ https://ceac.state.gov/genniv/ ขั้นตอนนี้ต้องเตรียมข้อมูลให้พร้อมนะคะ ที่ต้องกรอกที่จำได้ก็มีช่วงเวลาที่จะไปวันไหนถึงวันไหน ที่อยู่ที่จะพักในอเมริกาอะไรทำนองนี้ ชื่อพ่อแม่ภาษาอังกฤษด้วย อ้อ อย่าลืมไฟล์ภาพถ่ายด้วยนะคะ อ่านรายละเอียดการกรอกได้ที่นี่นะคะ เค้าทำไว้ละเอียดดีมากเลย
http://thai.bangkok.usembassy.gov/niv_visaforms_photoreq.html เสร็จแล้ว print ใบ confirmation มาด้วยนะคะ ต้องนำไปยื่นวันสัมภาษณ์ค่ะ การกรอกนี้ไม่จำเป็นต้องกรอกให้เสร็จรวดเดียวนะคะ เราสามารถ save แล้วมากรอกทีหลังต่อได้อีกค่ะ

2. ซื้อ pin สำหรับจองวันสัมภาษณ์ออนไลน์โดยจะต้องสร้าง account ที่ 
https://thailand.us-visaservices.com/forms/DetermineTCN.aspx ขั้นตอนนี้ต้องเตรียมเลข confirmation ที่ได้จากตอนกรอกใบ ds-160 ไว้ด้วยนะคะ และบัตรเครดิตค่ะ ถ้าไม่มีบัตรเครดิต จะไปจ่ายเงินที่ไปรษณีย์ทีหลังก็ได้ค่ะ อ่านดูได้ที่นี่ค่ะ https://thailand.us-visaservices.com/Forms/SelfServicePaymentOptns.aspx ค่าซื้อ PIN เพื่อจองวันสัมภาษณ์ปัจจุบัน $12 ค่ะ ดูได้ที่ลิงค์ที่ให้ตะกี้เลยค่ะ

3. จองวันสัมภาษณ์ หลังจากซื้อ pin แล้วก็ไปจองวันสัมภาษณ์ค่ะ ขั้นตอนนี้ถือว่ายากที่สุด เนื่องจากว่าคิวมักเต็มยาวจนสุดตาราง บางคนเตรียมพร้อมหมดทุกอย่างแล้วแต่ก็ถอดใจเพราะขั้นตอนนี้ค่ะ ตารางจองเค้าจะมีขึ้นแค่ 2 เดือนนะคะ ถ้าเต็มหมดแล้วเนี่ยจำเป็นที่จะต้องคอยเข้ามาเฝ้าตาราง เพราะบางทีมีคน cancel มันก็จะว่างมาให้เรารีบคลิกจองค่ะ ตัวผู้เขียนนั่งเฝ้ากลางดึกมา 1 อาทิตย์เต็มๆ ก็ได้มาค่ะ เพราะฉะนั้น ควรจะวางแผนขอวีซ่าก่อนเดินทางอย่างน้อยสัก 3 เดือนนะคะ เดี๋ยวขอไม่ทันแต่จองที่พักและซื้อตั๋วซื้ออะไรไว้แล้วจะลำบากค่ะ
อ้อ ขั้นตอนนี้ระวังจองผิดนะคะ ถ้าเราจะขอวีซ่าแบบ B2 คือเพื่อไปท่องเที่ยวก็ต้องเลือกให้ถูกนะคะ หากเลือกเป็น B1 ซึ่งสำหรับคนขอไปเพื่อธุรกิจ (เช่น บริษัทส่งไปทำงาน ไปสัมมนา อบรมอะไรประมาณนี้) จะได้วันสัมภาษณ์ง่าย เพราะเค้าเปิดให้คนกลุ่มนี้ตลอด แต่ตอนไปสัมภาษณ์ต้องเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องไปด้วย เช่น หนังสือติดต่อระหว่างหน่วยงาน หลักฐานการส่งไปอบรมอะไรประมาณนี้ บางคนจะไปเที่ยว แต่ลักไก่ไปจองวันสัมภาษณ์เป็น B1 พอไปถึงหน้าสถานทูตวันสัมภาษณ์ เค้าจะขอดูเอกสารค่ะ และเค้ามีรายชื่อไว้ด้วยว่าวันนั้นมีใครจองวันสัมภาษณ์ประเภทไหนเวลาอะไร ลักไก่ไม่ได้เลยค่ะ ถ้าจองไปผิดประเภท เค้าจะไล่คุณให้กลับไปจองใหม่ และคุณจะต้องเสียเวลาและเสียเงินซื้อ pin ใหม่ด้วยค่ะ วันนั้นที่ไปสัมภาษณ์ เจอคนโดนไล่กลับไปหลายคนเลย

4. ชำระค่าธรรมเนียมวีซ่าที่ไปรษณีย์ ปัจจุบันจำนวน $160 เหรียญ เป็นเงินไทยเท่าไหร่ที่ไปรษณีย์จะบอกเองค่ะ แล้วแต่ค่าเงิน เก็บใบเสร็จไว้นะคะ เพราะต้องนำไปยื่นวันสัมภาษณ์ค่ะ ลองเช็คตารางราคาดูได้ที่นี่นะคะ http://thai.bangkok.usembassy.gov/niv_visafees.html

5. เตรียมเอกสารสำหรับวันสัมภาษณ์
หลักๆ ก็มี 
5.1 พาสปอร์ตทุกเล่มที่มี ทั้งเก่าใหม่ ถ้าโชว์ว่าเคยเป็นเที่ยวประเทศอื่นๆ มาด้วยยิ่งดี
5.2 ใบ ds-160 confirmation
5.3 ใบเสร็จค่าธรรมเนียมวีซ่าที่ได้จากไปรษณีย์ (ตัวจริง)
5.4 ใบจองวันสัมภาษณ์
5.5 รูปถ่าย 5x5 ซม. (ถึงแม้ว่ารูปที่คุณอัพโหลดจะผ่านแล้วก็ต้องเตรียมไปด้วยค่ะ ของเราเค้าเอารูปที่เราถือไปไปสแกนใหม่ในวันสัมภาษณ์ค่ะ และรูปที่ลงในวีซ่าเราก็เป็นรูปอันใหม่นี้แหละ) ตอนนั้นดูเดี่ยว 8 ที่โน้สอุดมเล่าเรื่องไปขอวีซ่าเมกา แล้วเล่าเรื่องรูปถ่าย เรากังวลม้าก มาก กลัวรูปถ่ายใชัไม่ได้ เลยต้องถ่อไปถ่ายถึงสยามทั้งที่บ้านอยู่รังสิต หูในภาพข้างนึงมันก็เห็นไม่ชัดเพราะหูเรามันไม่กางออกมา แต่ตอนที่ไปรอแถวหน้าสถานทูตเพื่อสัมภาษณ์ ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่คนไหนสนใจเรื่องรูปถ่ายเลยค่ะ เค้าไม่ดูเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้น เราว่านะ ไปถ่ายร้านไหนก็ได้ ให้เห็นหน้าชัด ขนาดถูกต้อง สีพื้นหลังถูกต้องก็ใช้ได้แล้วล่ะ
5.6 หนังสือรับรองการทำงาน (หนังสือรับรองการเป็นนักศึกษา กรณียังเรียนอยู่)
5.7 หนังสือเชิญไปเที่ยว (ถ้ามี)

6 รายการข้างต้นเป็นสิ่งที่ต้องใช้นะคะ
นอกจากนี้ก็เตรียมของพวกนี้ไปด้วยเผื่อกงสุลขอเรียกดูค่ะ
5.8 ใบลางาน
5.9 bank statement เป็นสมุดบัญชีทั้งเล่มก็ได้ถ้ามีการอัพสมุดเป็นประจำ ถ้าไม่อัพประจำก็ขอ statement จากธนาคารย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือนค่ะ
5.10 เอกสารการเป็นเจ้าของทรัพย์สินต่างๆ เช่น เอกสารการผ่อนบ้าน โฉนดที่ดิน (ถ้ามี)
5.11 ข้อมูลโรงแรมที่จะพัก
5.12 แผนการท่องเที่ยวคร่าวๆ
5.13 จดหมายแนะนำตัวเอง ว่าเป็นใคร ทำงานอะไร จะไปเมกาเพื่ออะไร และทำไมถึงจะกลับมา เช่น ภาระทางบ้านที่ไทย หรืออื่นๆ ที่จะชักจูงให้กงสุลเชื่อได้ว่าเราไปเที่ยวจริงและจะกลับมาแน่นอน อันนี้คือตัวอย่างจดหมายแนะนำตัวเองค่ะ http://ready2gointer.blogspot.com/2012/03/blog-post_101.html นอกจากนี้ยังมีจดหมายอื่นๆ ที่อ่านต้องใช้ดูได้ที่นี่ค่ะ http://ready2gointer.blogspot.com/2012/03/blog-post_3419.html

ทีนี้ขอเล่าถึงวันสัมภาษณ์บ้างค่ะ

วันนั้นเรามีนัดสัมภาษณ์ตอน 8 โมง เราไปถึงประมาณ 7 โมง เคยได้ยินคนบอกว่าให้ไปตี 5 เพราะแถวยาว แต่ไม่จำเป็นเลยค่ะ เพราะเค้าจะดูเวลาตามรอบค่ะ ตอนเราไปถึง เค้าก็ให้ยืนรอค่ะ จนคนรอบก่อนหน้าหมดแล้วถึงให้เราเข้าได้ (รอบก่อนหน้าเรา คือ 7:30 น.)

พอเข้าไปจะมีโต๊ะเจ้าหน้าที่ตรวจเอกสาร เค้าจะเอาเอกสารเราใส่ซองใสๆ เค้าขอแค่ใบ ds-160 confirmation กับ หนังสือรับรองการทำงาน และจดหมายเชิญ (ถ้ามี) กับรูปถ่ายที่เราถือไป จากนั้นก็ให้ซองใสๆ นั้นมา พร้อมเลขคิว จากนั้นก็ไปนั่งรอเรียกเข้าไปข้างในเป็นกลุ่มๆ ค่ะ ระหว่างรอเราจะแอบเอาเอกสารอะไรใส่เพิ่มไปก็ได้นะคะ ถ้าคิดว่ามันจะช่วยให้ได้วีซ่า แต่เราก็ไม่ได้ใส่อะไรเข้าไปเพิ่มเลยค่ะ เราเตรียมใบลาที่เจ้านายเซ็นต์แล้วไปด้วย แต่ก็ตัดสินใจไม่เอาใส่ไปค่ะ

นั่งรอสักพัก เค้าก็เรียกเข้าข้างใน เข้าไปก็คนเยอะอยู่ค่ะ ไปถึงก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ตรวจเอกสารอีกที จะเป็นเจ้าหน้าที่ไทยค่ะ เค้าจะสัมภาษณ์เราเหมือนเป็นเตรียมพร้อมให้เราตอบคำถามรอบจริงกับกงสุล แต่เค้าจะถามแบบเคี่ยวๆ ค่ะ ของเราเค้าทำหน้าตาแบบไม่เชื่อ ประมาณว่า ไปเที่ยวเองคนเดียวเนี่ยนะ คนในอเมริกาก็ไม่รู้จัก แล้วก็ ไหนขอดูใบจองโรงแรมหน่อยซิ เราก็ยื่นให้เป็นปึก แต่ไม่ใช่ใบจองโรงแรมนะ เพราะเราไม่ได้จอง แต่เป็นใบข้อมูลโรงแรมที่เราเช็คบนเน็ตมา บอกราคาของช่วงวันที่เราใส่ไปมาให้เสร็จสรรพ แล้วก็มีแผนท่องเที่ยวคร่าวๆ หนีบอยู่ด้วยกัน เจ๊แกก็ว่า แล้วโปรแกรมท่องเที่ยวเนี่ย เขียนเอง นึกเอาเองเลยรึ ทำเอาเราใจแป้วเล็กๆ เสร็จแล้วก็ได้บัตรคิวอีกใบแล้วไปนั่งรอเรียกสัมภาษณ์รอบจริงกับกงสุล

วันนั้นบัตรคิวเราขึ้นต้นด้วยเลข 2 ซึ่งก็ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร คนที่เข้ามาพร้อมๆ กับเราได้เลข 8 กันหมด เรารอนานมากจนคนเลข 8 ที่เข้ามาพร้อมๆ กันเสร็จไปหมดแล้วถึงได้เริ่มเรียกเลข 2 นั่งรออยู่ 2 ชม. ก็ถูกเรียก ได้ช่องเบอร์ 9 เป็นกงสุลผู้ชาย เค้าก็ถามเป็นภาษาอังกฤษไม่กี่คำถาม เช่น ทำงานที่ไหน แล้วก็ดูหนังสือรับรองการทำงานเรา ถามว่ารู้จักใครที่เมกามั้ย ก็ตอบว่าไม่ ถามว่าเดินทางกับใคร ก็ตอบว่าคนเดียว แล้วก็ถามเรื่องงานอีกว่าทำเกี่ยวกับอะไร ประมาณนี้ ก็ตอบไปตามตรง (ผ่านมา 3 เดือนแล้ว ณ วันที่เขียนประสบการณ์นี้ ก็จำได้ไม่ละเอียด แต่เค้าไม่ได้ขอดูเอกสารอะไรเพิ่มเลย) นอกนี้ก็ถามว่าเคยไปประเทศไหนมาบ้าง เราก็ตอบไป เท่านี้เค้าก็บอกว่าเราได้วีซ่า เราก็ถามกลับว่าได้กี่ปี เค้าก็ตอบ 10 ปี เราก็ขอบคุณมาก แล้วเดินออกไปซื้อซองไปรษณีย์เพื่อให้ส่งพาสปอร์ตพร้อมวีซ่ากลับ

พอออกมาก็รับโทรศัพท์ที่ฝากไว้ แล้วก็เปิดเครื่องส่ง message ไปหาแฟนว่าได้วีซ่าแล้ว 10 ปี แฟนก็ดีใจใหญ่

จากนั้นรอ 3 วันก็ได้พาสปอร์ตคืนพร้อมวีซ่า วันที่ได้วีซ่าตรงกับวันเกิดแฟนพอดีเลย อิอิ ในใบ ds-160 เรากรอกที่อยู่ในเมกาว่าเป็นโรงแรม แต่ถึงวันจริงเราไม่ได้พักที่โรงแรมนั้น แต่พักบ้านพ่อแม่แฟน และวันเดินทางก็ไม่ตรงตามที่กรอกไว้เลย เพราะเปลี่ยนแผนทีหลัง เพราะงั้น ข้อมูลส่วนนี้ เราสามารถกรอกไปคร่าวๆ ได้นะคะ ตอนเดินทางถึงเมกา ตม. ก็ไม่ได้ถามค่ะว่าทำไมไม่ตรงกะตอนที่บอกไว้ในวันสัมภาษณ์ ไม่ได้พูดอะไรถึงวันสัมภาษณ์เลยด้วยค่ะ

2 comments:

  1. ถ้าเรากรอกชื่อโรงแรมไปแล้ว แต่จริงๆเรายังไม่ได้จอง หรือยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะพักโรงแรมไหน เค้าจะขอดูหลักฐานการจองโรงแรมมั้ยคะ

    ReplyDelete
  2. ถ้าเรากรอกชื่อโรงแรมไปแล้ว แต่จริงๆเรายังไม่ได้จอง หรือยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะพักโรงแรมไหน เค้าจะขอดูหลักฐานการจองโรงแรมมั้ยคะ

    ReplyDelete

All contents and pictures in this blog is copyrighted@2009 by monkey-girl. All right reserved.

Back to TOP